ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (1 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อในระดับสูงของเยอรมนี ซึ่งบ่งชี้ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.37% แตะที่ระดับ 104.4849
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0656 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0582 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.2014 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2054 ดอลลาร์
ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 136.15 เยน จากระดับ 136.11 เยน แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9402 ฟรังก์ จากระดับ 0.9406 ฟรังก์
นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3608 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3629 ดอลลาร์แคนาดา และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับโครนาสวีเดน ที่ระดับ 10.4427 โครนา จากระดับ 10.4501 โครนา
ยูโรแข็งค่า หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 9.3% ในเดือนก.พ. สูงกว่าเดือนม.ค.ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.2% และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 9%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 47.7 ในเดือนก.พ. จากระดับ 47.4 ในเดือนม.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 48.0 โดยดัชนียังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐ โดยเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.1% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.7% ในเดือนธ.ค.
ส่วนการใช้จ่ายในโครงการภาคสาธารณะลดลง 0.6% ขณะที่การใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลกลางพุ่งขึ้น 8.6% และการใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลในมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นลดลง 1.4%