ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (15 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ร่วงลงสู่ระดับ 102.0910 จากระดับก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 103.20
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0950 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0836 ดอลลาร์ในวันพุธ (14 มิ.ย.) ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ 1.2781 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2668 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8913 ฟรังก์ จากระดับ 0.8992 ฟรังก์ ขณะเดียวกันก็อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3211 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3313 ดอลลาร์แคนาดา และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับโครนาสวีเดน ที่ระดับ 10.5898 โครนา จากระดับ 10.7148 โครนา แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 140.3150 เยน จากระดับ 139.6670 เยน
ยูโรแข็งค่า หลังจากคณะกรรมการ ECB ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 8 ติดต่อกัน นอกจากนี้ ECB ยังส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ECB ได้เริ่มวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2565 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนอยู่ที่ระดับ 6.1% ในเดือนพ.ค. ซึ่งยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของ ECB ที่ระดับ 2%
ส่วนดอลลาร์ถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 67% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ค. และจากนั้นจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในเดือนธ.ค.ปีนี้
การคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง โดยดัชนีราคานำเข้าเดือนพ.ค.ร่วงลง 5.9% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับในรอบ 3 ปี โดยข้อมูลดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสหรัฐเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้นเพียง 4.0% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี