ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (25 ต.ค.) หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นใกล้แตะระดับ 5% ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.24% แตะที่ระดับ 106.5245
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0567 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0589 ดอลลาร์ในวันอังคาร (24 ต.ค.) ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.2115 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2162 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3793 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3730 ดอลลาร์แคนาดา, แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 150.0070 เยน จากระดับ 149.8990 เยน, แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8967 ฟรังก์ จากระดับ 0.8932 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับโครนาสวีเดน ที่ระดับ 11.1441 โครนา จากระดับ 11.1128 โครนา
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 4.95% ซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดีดตัวขึ้นหลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 12.3% สู่ระดับ 759,000 ยูนิตในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2565 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 23 ปี
ยูโรอ่อนค่าลง ก่อนที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ ซึ่งตลาดคาดว่า ECB จะตรึงอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยในวันนี้ สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2566 ซึ่งจะเป็นตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1
ส่วนในวันพรุ่งนี้ สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนก.ย. โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)