ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 สัปดาห์ หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดไว้
ณ เวลา 23.10 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์บวก 0.62% สู่ระดับ 104.56 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย.2566 ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่า 0.54% สู่ระดับ 1.073 เทียบยูโร และดีดตัว 0.29% สู่ระดับ 148.80 เยน
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.4 ในเดือนม.ค. จากระดับ 50.5 ในเดือนธ.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 52.0
ดัชนี ISM ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานและคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ
ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว โดยขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13
นอกจากนี้ ดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวย้ำว่าเฟดจะยังไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้
ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ "60 Minutes" ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า เฟดจะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ และมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้น หลังจากนายพาวเวลส่งสัญญาณหลังการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ว่า เฟดจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. เนื่องจากเฟดยังไม่มั่นใจต่อทิศทางเงินเฟ้อของสหรัฐ