ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (1 ก.ค.) ขณะที่ยูโรแข็งค่าเทียบดอลลาร์ ขานรับผลการเลือกตั้งรอบแรกของฝรั่งเศส
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.03% แตะที่ระดับ 105.900
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0729 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0712 ดอลลาร์ในวันศุกร์ (28 มิ.ย.) ขณะที่เงินปอนด์ทรงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2641 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 161.52 เยน จากระดับ 160.81 เยนในวันศุกร์ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9035 ฟรังก์ จากระดับ 0.8986 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3745 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3686 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเทียบดอลลาร์ หลังผลการเลือกตั้งรอบแรกของฝรั่งเศสบ่งชี้ว่า พรรคขวาจัดได้คะแนนเสียงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภา ส่งผลให้ต้องมีการเลือกตั้งรอบ 2 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 7 ก.ค.
พรรคแนวร่วมประชาชนใหม่ (NFP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศส และพรรคสายกลางของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เตรียมจับมือกันโดยมีวัตถุประสงค์เดียวกันในการสกัดการคว้าชัยชนะของพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (RN) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด ในการเลือกตั้งรอบ 2
ทั้งนี้ พรรค RN และพันธมิตรสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งรอบแรกซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 มิ.ย.) โดยได้รับคะแนนเสียง 33.15% ขณะที่พรรค NFP ได้คะแนนเสียง 27.99% ส่วนพรรคสายกลางของปธน.มาครงได้คะแนนเสียง 20.04%
อย่างไรก็ดี แม้ว่าพรรค RN และพันธมิตรได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 ซึ่งจะทำให้คว้าที่นั่งจำนวน 270 ที่นั่งในรัฐสภาฝรั่งเศส แต่ก็ยังคงไม่สามารถครองเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งในรัฐสภา ซึ่งมีจำนวนที่นั่งรวม 577 ที่นั่ง ทำให้ชาวฝรั่งเศสต้องออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งรอบ 2 ในวันที่ 7 ก.ค.
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนมิ.ย.ของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 51.3 ในเดือนพ.ค. โดยดัชนีปรับตัวสูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตสหรัฐ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.1% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. และเมื่อเทียบเป็นรายปี การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างพุ่งขึ้น 6.4% ในเดือนพ.ค.
นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดซึ่งมีกำหนดแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาสหรัฐในวันที่ 9 ก.ค. และจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 10 ก.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจและแรงงานของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดุลการค้าเดือนพ.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนมิ.ย.จากเอสแอนด์พี โกลบอล, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ค. และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.