ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (23 ต.ค.) หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจเพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.34% แตะที่ 104.431
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 152.66 เยน จากระดับ 151.06 เยนในวันอังคาร (22 ต.ค.) นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8670 ฟรังก์ จากระดับ 0.8656 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3840 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3822 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0781 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0800 ดอลลาร์ในวันอังคาร ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2923 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2978 ดอลลาร์
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 4.255% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนหรือนับตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค. หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายซึ่งรวมถึงแมรี ดาลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก, ลอรี โลแกน ประธานเฟดสาขาดัลลัสฅ และนีล แคชแครี ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิส ได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง และปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ดอลลาร์ยังได้ปัจจัยหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
นักวิเคราะห์ระบุว่า ชัยชนะของนายทรัมป์จะเป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินดอลลาร์ เนื่องจากแผนการปรับลดอัตราภาษี, การผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงิน รวมทั้งการตั้งกำแพงภาษีต่อการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน จะส่งผลกระทบต่อสกุลเงินเอเชีย และจะเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงิน ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อดอลลาร์ในที่สุด
นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่า มาตรการต่างๆของนายทรัมป์จะเป็นปัจจัยกระตุ้นเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และจะหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) รายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 1.0% ในเดือนก.ย. สู่ระดับ 3.84 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2553 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านมือสองจะไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนส.ค. ที่ระดับ 3.86 ล้านยูนิต