ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (15 พ.ย.) และปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน ขณะที่ตลาดประเมินการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และคาดว่านโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อ
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.01% สู่ระดับ 106.686
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงแตะ 154.22 เยนในวันศุกร์ จาก 155.93 เยนในวันพฤหัสบดี, ดอลลาร์อ่อนค่าลงแตะ 0.8876 ฟรังก์สวิส จาก 0.8887 ฟรังก์สวิส และดอลลาร์แข็งค่าแตะ 1.4092 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.4036 ดอลลาร์แคนาดา
ส่วนยูโรอ่อนค่าลงแตะ 1.0537 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.0548 ดอลลาร์ และปอนด์อ่อนค่าลงแตะ 1.2612 ดอลลาร์ จาก 1.2687 ดอลลาร์
ดอลลาร์ได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ของตลาดที่ว่า นโยบายของรัฐบาลทรัมป์ เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าและการลดภาษีเงินได้ อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีโอกาสน้อยลงในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (14 พ.ย.) ว่า เฟดไม่จำเป็นต้องรีบลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทำให้บรรดาเทรดเดอร์ลดการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนหน้าและในอนาคต
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ในวันศุกร์บ่งชี้ว่ายอดค้าปลีกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเกินคาดในเดือนต.ค. แต่แนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคดูเหมือนชะลอตัวลงในช่วงเริ่มต้นไตรมาส 4
ซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตันระบุในการแสดงความคิดเห็นที่เผยแพร่ในวอลล์สตรีท เจอร์นัลในวันศุกร์ว่า การลดอัตราดอกเบี้ยอาจยุติลงอย่างเร็วที่สุดในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ โดยขึ้นอยู่กับข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงานและเงินเฟ้อที่จะออกมาในอนาคต
เครื่องมือ CME FedWatch บ่งชี้ว่า ความน่าจะเป็นในการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.ลดลงเหลือประมาณ 61% จากเกือบ 82% เมื่อวันพฤหัสบดี (14 พ.ย.)