ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (13 ก.พ.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อชะลอตัวลง นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.58% แตะที่ระดับ 107.313
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 152.94 เยน จากระดับ 154.43 เยนในวันพุธ (12 ก.พ.), อ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9039 ฟรังก์ จากระดับ 0.9133 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.4232 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.4284 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0436 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0391 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2537 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2446 ดอลลาร์
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับตัวขึ้น 3.5% ในเดือนม.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือนธ.ค.เช่นกัน ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และหนึ่งในเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จับตาอย่างใกล้ชิด ปรับตัวขึ้น 3.6% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับ 3.7% ในเดือนธ.ค.
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 4.547% หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนี PPI ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อกำลังอยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในบันทึกของประธานาธิบดี (presidential memorandum) ในวันพฤหัสบดี เพื่อประกาศแผนการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที โดยเจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาวเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า มาตรการดังกล่าวอาจจะมีการบังคับใช้ในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ทีมเศรษฐกิจและการค้าของปธน.ทรัมป์กำลังศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการค้าทวิภาคี
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 7,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 215,000 ราย