ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันเดินหน้าเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาตามกำหนดเดิมที่วางไว้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.78% แตะที่ระดับ 107.244
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 149.87 เยน จากระดับ 148.85 เยนในวันพุธ (26 ก.พ.) นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8996 ฟรังก์ จากระดับ 0.8938 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.4441 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.4333 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0404 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0491 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2608 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2684 ดอลลาร์
ปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าอื่น ๆ จากสหภาพยุโรป (EU) ในอัตรา 25% และล่าสุดเขาได้ยืนยันผ่านทางแพลตฟอร์ม Truth Social ในวันพฤหัสบดีว่า สหรัฐฯ จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตามกำหนดเดิมในวันที่ 4 มี.ค. และจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค.เช่นกัน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนดอลลาร์ฟื้นตัว หลังจากที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงในช่วงแรก อันเนื่องมาจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 22,000 ราย สู่ระดับ 242,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 220,000 ราย
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2567 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 2.3% ในไตรมาสดังกล่าว ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1
นอกจากนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ดิ่งลง 4.6% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 70.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.9% หลังจากร่วงลง 4.1% ในเดือนธ.ค.
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)