ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็ง ยูโรร่วง หลังทรัมป์-เซเลนสกีวืดทำข้อตกลง

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday March 1, 2025 08:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (28 ก.พ.) ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ หลังจากการประชุมระหว่างประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประสบความล้มเหลว ซึ่งทำลายความหวังในการบรรลุข้อตกลงสันติภาพในสงครามยูเครน-รัสเซีย

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.35% แตะที่ระดับ 107.616

ยูโรอ่อนค่าลงแตะ 1.0368 ดอลลาร์สหรัฐในวันศุกร์ (28 ก.พ.) จาก 1.0404 ดอลลาร์สหรัฐในวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) และปอนด์อ่อนค่าแตะ 1.2572 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.2608 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นแตะ 150.54 เยนในวันศุกร์ จาก 149.87 เยนในวันพฤหัสบดี, ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าแตะ 0.9035 ฟรังก์สวิส จาก 0.8996 ฟรังก์สวิส และดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าแตะ 1.4459 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.4441 ดอลลาร์แคนาดา

ทรัมป์และเซเลนสกีปะทะคารมกันอย่างรุนแรงระหว่างการประชุมที่มีจุดประสงค์เพื่อที่ยูเครนจะเกลี้ยกล่อมสหรัฐฯ ไม่ให้สนับสนุนประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียซึ่งเป็นผู้นำในการสั่งให้รุกรานยูเครนเมื่อสามปีก่อน

เซเลนสกีออกจากทำเนียบขาวอย่างรวดเร็วหลังจากการประชุม โดยไม่ได้ลงนามในข้อตกลงระหว่างยูเครนและสหรัฐฯ เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน

"ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดตอนนี้คือความไม่แน่นอนในหลายระดับ และนี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของเรื่องนั้น" แจ็ค แมคอินไทร์ ผู้จัดการพอร์ตของแบรนดีไวน์ โกลบอลในฟิลาเดลเฟียกล่าว

"ดูเหมือนว่าเรากำลังเดินหน้าไปสู่ความก้าวหน้าของข้อตกลงสันติภาพหรือการหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครน และตอนนี้มันอาจจะต้องถูกหยุดไว้ ดังนั้นเราต้องคำนึงถึงความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นอีก"

ยูโรอ่อนค่าลงหลังจากการประชุมระหว่างทรัมป์และเซเลนสกี และร่วงแตะ 1.0359 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ.

ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงในวันศุกร์หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อออกมาใกล้เคียงกับที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงโดยไม่คาดคิด

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานในวันศุกร์ว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนม.ค.ปรับตัวขึ้นตามคาด อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าสองในสามของเศรษฐกิจ ลดลง 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนธ.ค. ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลาง สหรัฐฯ (เฟด) ต้องพิจารณานโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.6% ในเดือนธ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.3% ในเดือนธ.ค.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.9% ในเดือนธ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.2% ในเดือนธ.ค.

อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าสองในสามของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลดลง 0.2% ในเดือนม.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนธ.ค.

ในรอบสัปดาห์นี้ ดอลลาร์เพิ่มขึ้นประมาณ 0.9% แต่ลดลง 0.8% ในเดือนก.พ. ซึ่งจะเป็นการลดลงรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2567

ข้อมูลจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า หลังการเปิดเผยข้อมูล PCE มีการคาดการณ์เพิ่มขึ้นว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย. โดยตลาดประเมินโอกาสในการลดดอกเบี้ยไว้ที่ 79.1% เพิ่มขึ้นจากเกือบ 70% ในวันพฤหัสบดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ