สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (21 มี.ค.) และปิดตลาดสัปดาห์นี้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรในเป็นครั้งแรกในเดือนมี.ค. เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรยูโรหลังจากพุ่งขึ้นก่อนถึงเส้นตายในวันที่ 2 เม.ย.สำหรับมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.23% แตะที่ระดับ 104.089
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นแตะ 149.22 เยนในวันศุกร์ (21 มี.ค.) จาก 148.80 เยนในวันพฤหัสบดี (20 มี.ค.), ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าแตะ 0.8830 ฟรังก์สวิส จาก 0.8819 ฟรังก์สวิส และดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าแตะ 1.4347 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.4328 ดอลลาร์แคนาดา
ส่วนยูโรอ่อนค่าลงแตะ 1.0821 ดอลลาร์สหรัฐในวันศุกร์ จาก 1.0848 ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี และปอนด์อ่อนค่าแตะ 1.2927 ดอลลาร์ จาก 1.2960 ดอลลาร์
ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่ายังไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ส่วนยูโรอ่อนค่าลง แม้ว่าสภาสูงของเยอรมนี (Bundesrat) ผ่านมาตรการปฏิรูปกฎการกู้ยืมของประเทศ และอนุมัติกองทุนมูลค่า 5 แสนล้านยูโรเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป
นักวิเคราะห์ระบุว่า ยูโรแข็งค่าขึ้นอย่างมากในไตรมาสนี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นแรงขายทำกำไรก่อนถึงกำหนดเส้นตายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เม.ย.
ในสัปดาห์นี้ เฟด, ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต่างคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ขณะที่ประเมินผลกระทบของภาษีการค้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจโลก
เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง ๆ ละ 0.25% ภายในปีนี้
เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวว่า เฟดไม่รีบร้อนที่จะปรับดอกเบี้ย โดยเน้นย้ำถึงความท้าทายของเฟดในการรับมือกับนโยบายภาษีของทรัมป์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ออสตัน กูลสบี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวในวันศุกร์ (21 มี.ค.) ว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าแผนภาษีของสหรัฐฯ จะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อหรือไม่ โดยเฉพาะจากการเก็บภาษีสินค้าขั้นกลาง และมาตรการตอบโต้จากประเทศอื่น ๆ