สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (4 เม.ย.) หลังจาก เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยอมรับถึงผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่มากเกินคาด และแสดงท่าทีระมัดระวังต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคต
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.93% แตะที่ระดับ 103.024
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นแตะ 146.91 เยนในวันศุกร์ (4 เม.ย.) จาก 146.43 เยนในวันพฤหัสบดี (3 เม.ย.) และแข็งค่าขึ้นแตะ 1.4238 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.4084 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงแตะ 0.8606 ฟรังก์สวิส จาก 0.8611 ฟรังก์สวิส
ส่วนยูโรอ่อนค่าลงแตะ 1.0943 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1037 ดอลลาร์สหรัฐ และปอนด์อ่อนค่าลงแตะ 1.2881 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.3095 ดอลลาร์สหรัฐ
พาวเวลกล่าวว่า การเก็บภาษีจะเพิ่มความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สะท้อนถึงความยากลำบากที่เฟดจะต้องเผชิญในการกำหนดนโยบายการเงิน
ถ้อยแถลงของพาวเวลมีขึ้น หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 228,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. มากกว่าคาดการณ์ที่ 135,000 ตำแหน่ง แม้ตัวเลขของเดือนก.พ. ถูกปรับลดลงเหลือ 117,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานขยับขึ้นเป็น 4.2% จาก 4.1%
จีนประกาศเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 34% จากสินค้านำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. ซึ่งยิ่งเพิ่มความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างหนัก
ทั้งนี้ จีนต้องเผชิญกับภาษีนำเข้ารวมประมาณ 64% เมื่อรวมกับภาษี 10% ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เคยเรียกเก็บไว้ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งครั้งแรก โดยจีนและสหภาพยุโรปต่างประกาศว่าจะดำเนินมาตรการตอบโต้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดสงครามการค้าขนาดใหญ่ในวงกว้าง
ตลาดจับตาการเปิดเผยดัชนี CPI ของสหรัฐฯ ที่จะเผยแพร่ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการสำหรับผู้บริโภค