ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก ขณะที่นักลงทุนจับตามาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจลุกลามเป็นการทำสงครามการค้าทั่วโลก
ณ เวลา 23.51 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.44% สู่ระดับ 103.48 ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่า 0.37% สู่ระดับ 1.091 เทียบยูโร และดีดตัวขึ้น 0.82% สู่ระดับ 148.10 เยน
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) และภาษีศุลกากรพื้นฐาน (baseline tariff) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยภาษีศุลกากรตอบโต้จะแตกต่างกันไปเป็นรายประเทศ นับตั้งแต่ 10-49% โดยขึ้นอยู่กับการตั้งกำแพงภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศต่าง ๆ ที่มีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. ส่วนภาษีศุลกากรพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 10% เท่ากันทุกประเทศ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย.
ปธน.ทรัมป์ระบุว่ารัฐบาลจีนมีเวลาถึงวันอังคารที่ 8 เม.ย.ในการยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษี 34% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ มิฉะนั้นจีนจะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 50%
นายริชาร์ด แบรนสัน นักธุรกิจระดับมหาเศรษฐพันล้านของสหรัฐ เตือนว่าสหรัฐจะเผชิญกับความหายนะเป็นเวลาหลายปี หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff)
นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ ระบุเตือนว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะกระตุ้นราคาสินค้าทั้งภายในประเทศของสหรัฐและสินค้าที่มีการนำเข้า รวมทั้งฉุดเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งได้ชะลอตัวอยู่แล้วในขณะนี้