ดอลลาร์ทรุดตัวลงในวันนี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐ ได้บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ส่งผลให้ดอลลาร์ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 ทศวรรษเทียบฟรังก์สวิส และระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีเทียบยูโร
ณ เวลา 22.42 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลบ 0.85% สู่ระดับ 100.01 ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่า 1.16% สู่ระดับ 1.133 เทียบยูโร และร่วงลง 0.66% สู่ระดับ 143.49 เยน
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่านโยบายการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ แต่ในทางกลับกัน ดอลลาร์ได้ทรุดตัวลง 7% นับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง และดิ่งลงกว่า 2% นับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ยังเกิดขึ้นพร้อมกับแรงเทขายในตลาดหุ้นและพันธบัตรของสหรัฐ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่านักลงทุนต่างชาติกำลังเทขายสินทรัพย์สหรัฐหลังการประกาศนโยบายภาษีของปธน.ทรัมป์ ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ดอลลาร์ยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการทำสงครามการค้า
ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ขณะนี้สหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรรวมทั้งหมดต่อสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 145%
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีน สู่ระดับ 125% เมื่อวานนี้ แต่อัตราภาษีดังกล่าวยังไม่รวมกับที่ปธน.ทรัมป์เรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% เพื่อลงโทษจีนที่ไม่ได้สกัดการไหลทะลักของยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ขณะนี้สหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 145%
ทางด้านรัฐบาลจีนประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 125% จากเดิมที่ระดับ 84% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.
สหภาพยุโรป (EU) แถลงว่า นายมารอส เซฟโควิช ประธานกรรมาธิการการค้ายุโรป จะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตัน ดีซีในวันที่ 13 เม.ย. ก่อนที่จะทำการเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐในวันที่ 14 เม.ย. โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บระหว่างทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ นายกิลล์กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐกำลังต้องการอะไรจาก EU แต่การที่สหรัฐชะลอการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ออกไป จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสในการเจรจาเพื่อให้มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว