พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นในวันนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วัน
การดีดตัวของราคาพันธบัตร ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 1.7781% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 2.57%
ทั้งนี้ ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
นักวิเคราะห์ระบุว่า การเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานในเดือนต.ค.ที่ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงานที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปีครึ่ง และการปรับเพิ่มตัวเลขจ้างงานในเดือนก.ย. จะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 161,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 191,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.9% จากระดับ 5.0% ในเดือนก.ย.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. และอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.9%
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 19,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 191,000 ตำแหน่ง จากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 176,000 ตำแหน่ง จากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 167,000 ตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน ตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ ได้เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ 0.4% ในเดือนต.ค. จากตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.3% ซึ่งหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตัวเลขรายได้ดังกล่าวจะพุ่งขึ้น 2.8% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปีครึ่ง หรือนับตั้งแต่กลางปี 2009
การพุ่งขึ้นของตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานดังกล่าว ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานเริ่มตึงตัว และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
นักวิเคราะห์จากเครดิต สวิสคาดว่า ตัวเลขรายได้ของแรงงานดังกล่าวจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป โดยจะแตะระดับ 3.0%-3.5% ในระยะกลาง