อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐร่วงลงในวันนี้ หลังสหรัฐเผยอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นในเดือนมิ.ย. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง
ณ เวลา 22.58 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 1.442% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 2.057%
ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 706,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 5.9% ในเดือนมิ.ย. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 5.6% หลังจากแตะระดับ 5.8% ในเดือนพ.ค.
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนพ.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 583,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 559,000 ตำแหน่ง และปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนเม.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 269,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 278,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนมิ.ย. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 662,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 188,000 ตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด ทรงตัวที่ระดับ 61.6%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่พุ่งขึ้นเกินคาดในวันนี้ จะไม่ทำให้เฟดเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
"ถึงแม้แรงกดดันจากค่าจ้างกำลังเพิ่มขึ้น และตลาดแรงงานสหรัฐกำลังฟื้นตัวขึ้น แต่ก็ยังไม่ร้อนแรงพอที่จะทำให้เฟดหันมาคุมเข้มนโยบายการเงินมากขึ้น" นายฮิวจ์ กิมเบอร์ นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน แอสเซ็ท แมเนจเมนท์ กล่าว
ส่วนนายเจมส์ แมคแคน นักเศรษฐศาสตร์จากอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสเมนท์ กล่าวว่า "ข้อมูลในวันนี้จะไม่เปลี่ยนมุมมองของเฟด โดยการดีดตัวของตลาดแรงงานเป็นเรื่องที่มีการคาดการณ์กันแล้ว ซึ่งการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณต่อเฟดว่าบริษัทต่างๆประสบความสำเร็จในการหาคนงาน ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของค่าจ้างเป็นเวลานาน"
นักวิเคราะห์ระบุว่า หลังจากนี้ นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดประจำเดือนมิ.ย.ที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์หน้า รวมทั้งการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 และความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน