กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า จีนถือครองพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐลดลงสู่ระดับ 9.808 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่จีนถือครองพันธบัตรสหรัฐต่ำกว่าระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีความน่าดึงดูดน้อยลง
ทั้งนี้ จีนถือครองพันธบัตรสหรัฐในเดือนพ.ค.ลดลงเกือบ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์จากระดับของเดือนเม.ย. และลดลงเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 9% จากเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว
ขณะที่ญี่ปุ่นถือครองพันธบัตรสหรัฐลดลงสู่ระดับ 1.212 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2563 โดยตัวเลขดังกล่าวลดลงจากระดับ 1.218 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ยอดถือครองพันธบัตรสหรัฐลดลง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี โดยเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น ราคาพันธบัตรจะปรับตัวลดลง ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนที่ขายพันธบัตรก่อนที่จะครบกำหนดไถ่ถอนนั้น จะประสบกับภาวะขาดทุน
นอกเหนือจากปัจจัยอัตราดอกเบี้ยแล้ว การที่จีนลดการถือครองพันธบัตรของสหรัฐยังมีสาเหตุมาจากการที่จีนต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนด้านตราสารหนี้ต่างประเทศ