อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) พุ่งขึ้นทะลุระดับ 5% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี และ 30 ปีปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 4%
ณ เวลา 19.32 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 5.041% หลังจากแตะระดับ 5.047% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 3.970% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 3.875%
ทั้งนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด จะกล่าวถ้อยแถลงเป็นวันที่ 2 ต่อสภาคองเกรสในคืนนี้ โดยเขามีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ หลังจากที่ได้กล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวานนี้
นายพาวเวลกล่าววานนี้ว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงกว่าที่เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง
"ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายของเฟดจะอยู่สูงกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ และหากข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่าเฟดควรคุมเข้มนโยบายการเงินให้เร็วขึ้น เราก็จะเพิ่มความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย"
"แม้ว่าเงินเฟ้อได้ชะลอตัวลง หลังจากแตะจุดสูงสุดในปีที่แล้ว แต่กระบวนการทำให้เงินเฟ้อลดลงสู่เป้าหมาย 2% ยังคงเป็นหนทางอีกยาวไกล และไม่ราบรื่น" นายพาวเวลกล่าว และเสริมว่าภารกิจในการต่อสู้เงินเฟ้อของเฟดยังคงไม่สิ้นสุด และเฟดจำเป็นที่จะต้องคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนนี้ และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดในกรอบ 5.50-5.75% ในเดือนมิ.ย. รวมทั้งเฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังการกล่าวถ้อยแถลงของนายพาวเวลวานนี้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 72.0% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. และให้น้ำหนักเพียง 28.0% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%
นายสตีเวน บลิทซ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัททีเอส ลอมบาร์ด กล่าวว่า เฟดจะไม่ยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
"เฟดจะไม่ออกจากวงจรดังกล่าว จนกว่านายเจอโรม พาวเวลจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเกิดภาวะถดถอย และจนกว่าอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้น ซึ่งเมื่อถึงจุดนี้ เฟดจึงจะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย"
"เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยอย่างแน่นอน และเฟดจะกดดันจนกว่าอัตราการว่างงานแตะระดับ 4.5% เป็นอย่างน้อย และผมคาดว่าอาจไปสูงถึง 5.5% ขณะที่เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนแตะระดับ 6.5% ก่อนที่สิ่งต่างๆจะชะลอตัวและปรับตัวลงอย่างแท้จริง" นายบลิทซ์กล่าวต่อสำนักข่าว CNBC
แบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุด 6% หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงกว่าที่เฟดเคยคาดการณ์ไว้ เพื่อทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่เฟดกำหนดไว้ "เราคิดว่ามีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 6% และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวต่อไประยะหนึ่งเพื่อชะลอเศรษฐกิจ และเพื่อทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลงใกล้ 2%" นายริค ไรเดอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของแบล็คร็อคระบุในรายงาน "เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นมากกว่าคาด เนื่องจากไม่ได้มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเหมือนกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และความยืดหยุ่นดังกล่าวได้ทำให้การแก้ไขปัญหาของเฟดมีความซับซ้อนมากขึ้น" "เศรษฐกิจสหรัฐก็เหมือนกับโพลียูรีเทน ซึ่งเป็นสารที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้สูง แต่ก็มีความคงทนและมีความแข็งแกร่ง" รายงานระบุ