อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลงในวันนี้ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอชื่อนายสก็อตต์ เบสเซนต์ ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ "คีย์สแควร์ กรุ๊ป" ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐ
ณ เวลา 19.56 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.349% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.531%
นักลงทุนมองว่านายเบสเซนต์จะดำเนินมาตรการที่เอื้อต่อตลาดหุ้น และจะทำให้เศรษฐกิจและตลาดการเงินของสหรัฐมีเสถียรภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ นายเบสเซนต์สนับสนุนการจัดเก็บภาษีนำเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจสหรัฐ รวมทั้งทำการควบคุมเงินเฟ้อ และผลักดันการฟื้นตัวของภาคการผลิตสหรัฐ และความเป็นอิสระในอุตสาหกรรมพลังงาน
"ถ้าคุณกำลังคิดถึงเรื่องของตลาดและเรื่องที่มีความสำคัญ คุณเบสเซนต์ถือว่ามีความฉลาดหลักแหลมมาก มีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้เรื่องของตลาดมากกว่าคุณเบสเซนต์" แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าว
ด้านนายเอ็ด มิลส์ นักวิเคราะห์จาก Raymond James Washington กล่าวว่า "ประสบการณ์ของคุณเบสเซนต์ในฐานะนักลงทุนด้านมหภาคจะทำให้เขามีความสามารถในการเข้าใจผลกระทบจากการใช้นโยบายการค้า การตั้งกำแพงภาษี การลดอัตราภาษีเงินได้ และการผ่อนคลายกฎระเบียบของคุณทรัมป์ ซึ่งถ้าคุณเบสเซนต์สามารถชะลอหรือจำกัดการใช้นโยบายตั้งกำแพงภาษีแบบครอบคลุมทุกรายการ ขณะที่ทำการขยายการปรับลดภาษีเงินได้และผ่อนคลายกฎระเบียบ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมสหรัฐและหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สิ่งนี้ก็จะได้รับการขานรับจากตลาด"
ในฐานะรัฐมนตรีคลัง นายเบสเซนต์ วัย 62 ปี จะเป็นทั้งผู้ดูแลงบประมาณของสหรัฐ และผู้ที่จะผลักดันวาระทางเศรษฐกิจของนายทรัมป์
นายเบสเซนต์ถือเป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และเป็นผู้สนับสนุนเป้าหมายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ และการเข้ามารับตำแหน่งของเขาถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของสหรัฐขณะที่กำลังเผชิญภาวะขาดดุลงบประมาณและหนี้จำนวนมาก
หากได้รับการรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐ นายเบสเซนต์จะขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ต่อจากนางเจเน็ต เยลเลน โดยเขาจะเป็นรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลของนายทรัมป์ ซึ่งจะเข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 20 ม.ค.2568
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่จะมีการเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับตัวขึ้น 2.1% ในเดือนก.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.2% เช่นกันในเดือนก.ย.
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.7% ในเดือนก.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.3% เช่นกันในเดือนก.ย.