ฟิทช์มองว่า ปตท. น่าจะมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นจากธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีจากการปรับขึ้นราคา LPG หน้าโรงแยกก๊าซ โดยมีสมมติฐานจากปริมาณการจำหน่าย LPG ให้แก่ภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่งเป็นสัดส่วน 65% ของปริมาณทั้งหมด ราคา LPG หน้าโรงแยกก๊าซที่สูงขึ้นเป็น 498 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และปริมาณจำหน่าย LPG เทียบเท่าทั้งปีจากตัวเลขเก้าเดือนแรกของปี 2557
นอกจากนี้ราคาขายปลีก NGV ที่เพิ่มขึ้น 2 บาทต่อกิโลกรัม (1 บาทในเดือนตุลาคม 2557 และ 1 บาทในเดือนธันวาคม 2557) จะช่วยลดการขาดทุนของธุรกิจ NGV ของปตท. ได้เป็นจำนวนมาก โดย ปตท. มีผลขาดทุนก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในช่วงเก้าเดือนของปี 2557 เป็นจำนวน 15,098 ล้านบาท (ประมาณ 464 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) จากการจำหน่าย NGV ที่จำนวนประมาณ 8,820 ตันต่อวัน ด้วยปริมาณการขายนี้ ปตท. จะลดการขาดทุนได้ประมาณ 5,600 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ การปรับราคา LPG หน้าโรงกลั่นให้เป็นราคาที่อ้างอิงกับ Saudi Aramco Contract Price (CP) ลบด้วยต้นทุนการขนส่ง จะช่วยเพิ่มค่าการกลั่นให้แก่โรงกลั่นไทยเล็กน้อย และจะเอื้ออำนวยให้โรงกลั่นเลือกผลิตผลิตภัณฑ์ให้ได้กำไรสูงสุดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้โรงกลั่นไทยอาจจะยังได้รับประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสูตรราคานี้ในกรณีที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น