การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือครั้งนี้ เป็นการสะท้อนถึงการดำเนินด้านการเงินที่ดีขึ้นของ TASCO หลังจากการลดลงของหนี้สินและศักยภาพในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนหนี้สินของ TASCO ลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลง ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลงและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงขึ้น
ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตของ TASCO จะแข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่สูงจากราคาขายของยางมะตอยที่ปรับลดลงช้ากว่าต้นทุนน้ำมันดิบ, ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง, และความต้องการสินค้าที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้ TASCO ลดอัตราส่วนหนี้สินได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ฟิทช์ได้ปรับประมาณการกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงานเป็นประมาณ 3.0-4.0 พันล้านบาทต่อปี จากก่อนหน้านี้ที่ประมาณการไว้ที่ 1.0-1.5 พันล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงานเป็นต่ำกว่า 3.1 เท่า จากระดับ 5-6 เท่า ในปี 2558-2560
ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำทางการตลาดของ TASCO ในธุรกิจยางมะตอยในประเทศไทย โดย TASCO มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 40 ในธุรกิจแอสฟัลต์ซีเมนต์ และมากกว่าร้อยละ 60 ในสินค้ายางมะตอยชนิดพิเศษ เนื่องจากบริษัทฯ มีเครือข่ายทางการตลาดที่แข็งแกร่ง มีการส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลาและหน่วยงานสนับสนุนด้านเทคนิคที่ดี ความเชี่ยวชาญในสินค้ายางมะตอยและการบริการทางเทคนิคถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของบริษัทฯ โดยการที่ TASCO มีประวัติการดำเนินธุรกิจยางมะตอยที่ยาวนาน และการได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิคจากบริษัท Colas SA ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ โดยถือหุ้น TASCO อยู่ร้อยละ 32 เป็นปัจจัยสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้งในประเทศและในภูมิภาคนี้