ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต อัตราส่วนหนี้สินที่จะสูงขึ้น ฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากการลงทุนในการขยายท่อขนส่งน้ำมันซี่งใช้เงินลงทุนประมาณ 7.5 พันล้านบาท โดยจะมีแหล่งเงินทุนมาจากการกู้ยืมเป็นหลัก ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงานของ BAFS น่าจะอยู่ในระดับ 2.5 เท่าถึง 3.0 เท่า ในช่วงเวลาที่มีการลงทุนสูงในปี 2560-2561 (ณ สิ้นปี 2557: 1.0 เท่า) ฟิทช์คาดว่าบริษัทฯ จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากธุรกิจปัจจุบัน ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS สามารถอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้ในปี 2562 เป็นต้นไป
อันดับเครดิตของ BAFS สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในการให้บริการน้ำมันอากาศยานในประเทศไทย โดย BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Pipeline Network) แต่เพียงรายเดียว ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้ให้บริการหลักในส่วนของบริการเติมน้ำมันอากาศยาน (Into-Plane Fuelling Service) ณ ท่าอากาศยานดังกล่าว โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในการเติมน้ำมันอากาศยานประมาณร้อยละ 86-87 BAFS อยู่ในธุรกิจที่มีสภาพการแข่งขันที่ต่ำและได้รับประโยชน์จากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจที่สูงของผู้บริการรายใหม่ เนื่องจากผู้ให้บริการต้องได้รับการอนุญาตจากท่าอากาศยานนั้นๆ จึงจะให้บริการได้ ฟิทช์คาดว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9-10 ในปี 2558 และร้อยละ 4-5 ต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาน้ำมันที่จำกัด BAFS ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน เนื่องจาก BAFS จะเรียกเก็บเฉพาะค่าบริการเติมน้ำมันจากบริษัทน้ำมันเท่านั้น (โดยบริษัทน้ำมันเป็นผู้ขายน้ำมันให้แก่สายการบิน) นอกจากนี้ ต้นทุนหลักของ BAFS เป็นค่าสัมปทานซึ่งเป็นอัตราที่ตกลงกันก่อนตามสัญญา ทำให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของ BAFS ค่อนข้างคงที่