บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า การขยายวงเงินการออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2559 ของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL เป็น 1.2 หมื่นล้านบาท จากเดิม 5 พันล้านบาทนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทที่ 'A+(tha)' หรืออันดับเครดิตของหุ้นกู้ที่ 'A(tha)'
CP ALL จะนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปชำระคืนหนี้ไม่มีประกันบางส่วนของบริษัทฯ หุ้นกู้ดังกล่าวประกอบด้วยหุ้นกู้ 4 ชุด ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2562 ปี 2566 ปี 2569 และปี 2571
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันได้รับการจัดอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A+(tha)’ ของบริษัทผู้ออกหนึ่งอันดับ เนื่องจากหนี้สินส่วนใหญ่ของบริษัทฯ เป็นหนี้ที่มีหลักประกัน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินมีประกันต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย (Secured Debt to EBITDA) สำหรับ 12 เดือนล่าสุดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ที่ 4.3 เท่า
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินที่ล่าช้า: แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบของ CP ALL สะท้อนถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่อ่อนแอ ซึ่งจะส่งผลให้ CP ALL น่าจะต้องใช้เวลานานกว่าที่คาด ในการลดอัตราส่วนหนี้สินลงเพื่อให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบัน อัตราส่วนหนี้สินของ CP ALL ที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (funds flow from operations (FFO) adjusted net leverage) สำหรับ 12 เดือนล่าสุดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 อยู่ที่ 5.9 เท่า และน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่าในปี 2560 ซึ่งไม่สอดคล้องกับอันดับเครดิตที่ ‘A+(tha)’ โดยความล่าช้าดังกล่าวมีสาเหตุจากระดับกำไรและกระแสเงินสดที่อ่อนแอกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม CP ALL มีแผนที่จะขายสัดส่วนของการลงทุนใน บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ Makro บางส่วน และนำเงินที่ได้รับมาลดหนี้ ซึ่งน่าจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของ CP ALL ลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 3.5 เท่าได้ในปี 2560
กระแสเงินสดเติบโตในระดับปานกลางแต่มั่นคง: ฟิทช์คาดว่ารายได้ของ CP ALL จะเติบโตในอัตราประมาณร้อยละ 11 ในปี 2559 จากสาขาที่เปิดใหม่เป็นหลัก ในขณะที่อัตราการเติบโตของยอดขายต่อร้านค้าเดิม (Same-Store Sale) ของ 7-Eleven น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2-3 ในปี 2559 (อัตราการเติบโตดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 5 สำหรับไตรมาสที่สองปี 2559) อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อ่อนแอ บริษัทฯ ยังคงได้รับประโยชน์จากการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากสินค้าที่ขายส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความผันผวนของรายได้และอัตรากำไรน้อย ในขณะที่ศักยภาพในการเติบโตของบริษัทฯ ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสภาวะของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยที่ยังเติบโตไม่ถึงระดับอิ่มตัว
ผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ: CP ALL เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ฟิทช์เชื่อว่า CP ALL จะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำทางการตลาดไว้ได้ แม้ว่าธุรกิจค้าปลีกจะมีการแข่งขันที่สูง CP ALL มีจำนวนร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven มากกว่า 9,000 ร้านทั่วประเทศ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าร้อยละ 60 ในด้านจำนวนร้าน ซึ่งสูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับสองเป็นอย่างมาก ความเป็นผู้นำในตลาดของ CP ALL มีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีร้านค้าในเครือเป็นจำนวนมากและครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง รวมถึงการมีหน่วยงานในเครือที่สนับสนุนกิจการค้าปลีกของบริษัทฯ ได้แก่การบริการด้านลอจิสติกส์ การซ่อมแซมและบำรุงรักษาร้านค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงาน
เครื่องหมายการค้าที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง: CP ALL บริหารงานร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก ภายใต้สัญญา Area License Agreement ที่ทำกับบริษัท 7-Eleven Inc., แห่งสหรัฐอเมริกา โดยได้เปิดดำเนินการร้านค้าแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2532 ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านค้า 7-Eleven มากเป็นอันดับที่สองในโลก รองจากประเทศญี่ปุ่น (ไม่รวมสหรัฐอเมริกา)
ความสามารถในการแข่งขันที่ชัดเจน: การเข้าซื้อกิจการของ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสด และบริการตนเอง (Membership based Cash & Carry trade center) ในประเทศไทย ทำให้ CP ALL สามารถเพิ่มฐานลูกค้าทั้งในด้านปริมาณและความหลากหลาย หลังจากการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว CP ALL ได้กลายเป็นผู้ประกอบกิจการค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) ประเภทอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ความเป็นผู้นำทางการตลาดและประโยชน์จากการร่วมธุรกิจทำให้ทั้ง CP ALL และ Makro สามารถมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าผู้ค้าปลีกรายใหญ่รายอื่น โดยที่อัตรากำไรไม่ลดลง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อ่อนแอในช่วง 12-18 เดือนที่ผ่านมา
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- รายได้รวมมีการเติบโตในอัตราร้อยละ 11-12 ในปี 2559 และ 2560
- อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและ ค่าเช่าต่อรายได้ (EBITDAR Margin) อยู่ที่ร้อยละ 9.5-10.0 ในปี 2559 และ 2560
- มีการเปิดร้านค้าใหม่จำนวน 650 สาขาสำหรับร้าน 7-Eleven และ 13 – 14 สาขาสำหรับร้านค้าของ Makro ในปี 2559
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยลบ:
- การไม่สามารถขายสัดส่วนการลงทุนใน Makro หรือมีมาตราการใหม่ๆ ที่จะสามารถทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ลดลงต่ำกว่า 3.5 เท่าได้ในปี 2560 (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559: 5.9 เท่า)
- อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและ ค่าเช่าต่อรายได้ (EBITDAR Margin) ที่ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 8.5 อย่างต่อเนื่อง (ครึ่งปีแรก 2559: ร้อยละ 10.0)
- การมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผลจ่าย (FCF) ที่เป็นลบต่อเนื่องกัน 2 ปี
ปัจจัยบวก:
- แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพ หากบริษัทฯ สามารถลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า