บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำระบุ เงินกองทุนและสำรองค่าเผื่อหนี้สูญของธนาคารไทยสามารถรับมือสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่อ่อนแอได้
ฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ไทยจะปรับตัวอ่อนแอลงในปี 2560 หลังจากที่ผลการดำเนินงานในปี 2559 มีสัญญาณการปรับตัวเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (impaired loans) และอัตรากำไรที่ปรับตัวด้อยลงเล็กน้อย ทั้งนี้การปรับตัวด้อยลงดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมเป็นลบของภาคธนาคารพาณิชย์ไทยที่ฟิทช์ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตามอัตราส่วนเงินกองทุนและอัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญยังคงปรับตัวเข็งแกร่งขึ้นและน่าจะสามารถรับมือกับความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ยังคงอ่อนแอได้
จากการประกาศผลประกอบการปี 2559 ของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ซึ่งมีสัดส่วนสินเชื่อรวมกันที่ประมาณ 85% ของสินเชื่อรวมของระบบ) ผลการดำเนินงานโดยรวมแสดงให้เห็นถึงอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3.5% จาก 3.2% และสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (special-mention loans) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ฟิทช์คาดว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้น่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกต่อเนื่อง การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของระดับหนี้สินของภาคเอกชน โดยเฉพาะระดับหนี้สินของภาคครัวเรือน จะส่งผลให้ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น อัตราส่วนหนี้สินครัวเรือนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 81% ของ GDP ณ สิ้น ครึ่งปีแรกของปี 2559 จาก 60% ณ สิ้นปี 2553 อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะยังคงต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ไม่เอื้ออำนวยต่อเนื่อง โดยฟิทช์คาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ไทยน่าจะชะลอตัวลงจาก 3.2% เป็น 3.0%
จากความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ธนาคารพาณิชย์ไทยจึงมีการเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ในขณะเดียวกันความต้องการสินเชื่อจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจได้ชะลอตัวลงเช่นกัน ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้สินเชื่อโดยรวมมีการเติบโตที่ชะลอตัวลง และจากผลประกอบการปี 2559 ธนาคารพาณิชย์ไทยมีสินเชื่อรวมเติบโตเพียง 3.9% ลดลงจาก 5.8% ในปีก่อน ทั้งนี้ฟิทช์คาดว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อน่าจะผ่านพ้นระดับที่ต่ำสุดไปแล้วในปี 2559 และอัตราการเติบโตของสินเชื่อน่าจะมีการขยับเพิ่มขึ้นมาในปี 2560 แต่น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันจากความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์และแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมที่อาจชะลอตัวลงเนื่องจากผลกระทบจากโครงการระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-payments) ที่ริเริ่มโดยรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตามแม้ธนาคารพาณิชย์ไทยต้องเผชิญกับสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่ยากลำบากในปีก่อน อัตรากำไรของธนาคารยังคงค่อนข้างมีเสถียรภาพ โดยอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวลดลงเล็กน้อยเป็น 11.9% จาก 12.6% ผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการที่ธนาคารสามารถลดสัดส่วนการพึ่งพาเงินฝากประจำที่มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูงและการแข่งขันในด้านเงินฝากที่ลดลง เนื่องจากสภาพคล่องในระบบการเงินที่มากพอและอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวลง
ธนาคารพาณิชย์ไทยมีเงินกองทุนและสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับที่เพียงพอสำหรับรับมือกับแนวโน้มการปรับตัวอ่อนแอลงของภาวะอุตสาหกรรมของภาคธนาคาร โดยอัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 136% ณ สิ้นปี 2559 จาก 131% ในขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Common Equity Tier 1) ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (เฉพาะของธนาคาร) ปรับตัวขึ้นเป็น 14.7% ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2559 จาก 13.9% ณ สิ้นปี 2558 (อ้างอิงจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับระบบธนาคารพาณิชย์) ฟิทช์คาดว่าทั้งอัตราส่วนเงินกองทุนและอัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเฉลี่ยของภาคธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกแต่น่าจะเป็นอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ทั้งนี้ฟิทช์ยังคงแนวโน้มอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยส่วนใหญ่ไว้ที่ “แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ" แม้ว่าภาวะอุตสาหกรรมของภาคธนาคารพาณิชย์จะมีแนวโน้มเป็นลบ