ขณะที่สหรัฐกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีกนั้น อดีตเจ้าหน้าที่ของบริษัทสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) ยังคงแสดงความเชื่อมั่นว่า การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงในปี 2554 นั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนั้นมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากสหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ไปได้อย่างเฉียดฉิว แต่ S&P ก็ยังคงเดินหน้าปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐลง โดยระบุถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น และการดำเนินการที่ไม่เพียงพอที่จะปรับแนวโน้มการคลังของประเทศให้เหมาะสม
นายเดวิด เบียร์ส อดีตหัวหน้าฝ่ายจัดอันดับความน่าเชื่อถือของ S&P กล่าวว่า "ความแตกแยกทางการเมืองในสหรัฐจะยังคงดำเนินต่อไป และประการที่สองคือ เรากังวลว่าสหรัฐมีโอกาสมากขึ้นที่จะอยู่ในวังวนของหนี้สิน และจากการคาดการณ์ดังกล่าว ทำให้ผมไม่มีข้อกังขาเลยว่า การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว"
ในเดือนส.ค. ปี 2554 ซึ่งเป็นยุคที่นายบารัค โอบามา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐนั้น S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงเหลือ AA+ จากระดับ AAA โดยระบุว่า ความขัดแย้งทางเมืองและการดำเนินนโยบายที่ไร้ประสิทธิภาพได้ส่งผลให้สถานะด้านการคลังของรัฐบาลสหรัฐเผชิญกับความเสี่ยง
สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่า การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐในปี 2554 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และทำให้ S&P ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากคณะบริหารของปธน.โอบามาและผู้นำสภาคองเกรสในสมัยนั้น
ด้านนายจอห์น แชมเบอร์ส อดีตหัวหน้าคณะกรรมการการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของ S&P เปิดเผยว่า ในเวลานั้น S&P ได้ให้แนวโน้มความน่าเชื่อถือของสหรัฐเป็นลบนานถึง 4 เดือนก่อนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง และ S&P ได้แจ้งให้รัฐบาลสหรัฐรับทราบล่วงหน้าเป็นเวลา 24 ชั่วโมงเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าวก่อนการประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
"เหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดและมีความเป็นมืออาชีพมากที่สุดในชีวิตการทำงานของผม เมื่อรัฐบาลถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมมองว่า นั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด" นายแชมเบอร์สกล่าว
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน S&P ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐไว้ที่ AA+ ขณะที่โฆษกของ S&P ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นใด ๆ เพิ่มเติมในประเด็นนี้