ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของจีนลงสู่ "เชิงลบ" จาก "มีเสถียรภาพ" โดยระบุถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจีนอาจจะเผชิญปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้น ในขณะที่รัฐบาลพยายามกอบกู้เศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์
การปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือดังกล่าวหมายความว่า ในระยะกลางนี้ มีความเป็นไปได้ที่ฟิทช์อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของจีนลงจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ A+
ฟิทช์ระบุในแถลงการณ์ในวันนี้ (10 เม.ย.) ว่า การที่เศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้นนั้น กำลังผลักดันให้การคลังสาธารณะ (public finance) ของจีนประสบปัญหา พร้อมระบุว่า มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่การคลังสาธารณะจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะยิ่งทำให้หนี้สินของรัฐบาลจีนปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ฟิทช์คาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางจีนจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 7.1% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2567 จากระดับ 5.8% ในปี 2566 โดยตัวเลขขาดดุลในปี 2567 นั้น ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการเข้มงวดในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ ฟิทช์คาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนจะชะลอลงสู่ระดับ 4.5% ในปี 2567 จากระดับ 5.2% ในปี 2566 ซึ่งสวนทางกับที่ซิตี้กรุ๊ป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ต่างก็ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจจีน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลจีนได้ออกมาตอบโต้ฟิทช์อย่างรวดเร็ว โดยกล่าวว่าการปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของจีนนั้นไม่ได้สะท้อนถึงบทบาทของนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และในการช่วยให้ภาระหนี้สินของรัฐบาลมีเสถียรภาพ