สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้งของอิสราเอลลงจาก AA- เป็น A+ เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) หลังจากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านเพิ่มสูงขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงอยู่แล้วสำหรับอิสราเอล
S&P Global ระบุว่า "เราคาดการณ์ว่า ภาวะงบประมาณขาดดุลโดยรวมของรัฐบาลอิสราเอลจะเพิ่มขึ้นเป็น 8% ของ GDP ในปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของงบประมาณด้านกลาโหม"
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แนวโน้มเชิงลบดังกล่าวสะท้อนถึงความเสี่ยงที่สงครามอิสราเอล-ฮามาสและความตึงเครียดกับกลุ่มเฮซบอลเลาะห์อาจทวีความรุนแรงหรือส่งผลต่อเศรษฐกิจของอิสราเอลมากกว่าที่เอสแอนด์พี โกลบอล คาดการณ์ไว้ในขณะนี้
"ปัจจุบันเรามองเห็นความเสี่ยงต่อการยกระดับทางทหารหลายประการ รวมถึงการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรงและยืดเยื้อกับอิหร่านในระดับที่มากขึ้น" แถลงการณ์ระบุ
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (13 เม.ย.) กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่านกล่าวว่า พวกเขาได้ยิงโดรนและขีปนาวุธใส่อิสราเอลเป็นจำนวนมาก ซึ่งการโจมตีครั้งนี้อาจจุดชนวนความรุนแรงครั้งใหญ่ระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีสหรัฐให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนอิสราเอล
ก่อนหน้านี้ในเดือนนี้ ฟิทช์ (Fitch) ได้ถอดอิสราเอลออกจาก "รายชื่อเฝ้าระวังอันดับความน่าเชื่อถือ" (rating watch negative) และคงอันดับเครดิตเรตติ้งไว้ที่ A+ แต่ระบุว่า สงครามของอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาเป็นความเสี่ยง
เมื่อเดือนก.พ. มูดี้ส์ (Moody's) ได้ปรับลดเครดิตเรตติ้งของอิสราเอลลงเนื่องจากความเสี่ยงจากสงคราม ด้านนายเบซาเลล สโมตริช รัฐมนตรีคลังอิสราเอล กล่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ดีและเท่ากับเป็น "แถลงการณ์" ที่มองโลกในแง่ร้าย