ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating - IDR) ของจีนลง 1 ขั้น สู่ระดับ 'A' จากระดับ 'A+' ในวันพฤหัสบดี (3 เม.ย.) โดยระบุถึงหนี้สินของรัฐบาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความเสี่ยงที่มีต่อการคลังสาธารณะ (public finance) ประกอบกับผลกระทบของอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น
แถลงการณ์ของฟิทช์ระบุว่า "การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสะท้อนให้เห็นถึงการคาดการณ์ของเราว่า การคลังสาธารณะของจีนยังคงอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง และหนี้สาธารณะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจของประเทศ คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของรัฐบาลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อันเนื่องมาจากตัวเลขขาดดุลที่อยู่ในระดับสูง หนี้สินที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเติบโตที่ซบเซาลงของ GDP"
ทั้งนี้ ฟิทช์คาดการณ์ว่า หนี้สินของของรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางของจีนจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 60.9% ของ GDP ในปี 2567 เป็น 68.3% ในปี 2568 และ 74.2% ในปี 2569
นอกจากนี้ ฟิทช์คาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 4.4% ในปีนี้ จาก 5.0% ในปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ความเชื่อมั่นของครัวเรือนที่อ่อนแอ และความเสี่ยงจากภายนอกที่เพิ่มขึ้น โดยฟิทช์ระบุว่า จีนอาจจะเพิ่มการใช้จ่ายขึ้นอย่างมากเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และรับมือกับแรงกดดันเงินฝืด ท่ามกลางอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการส่งออกของประเทศ
การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของจีนมีขึ้นเพียงวันเดียว หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมปื ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากบรรดาประเทศคู่ค้าเป็นวงกว้าง โดยจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
ปธน.ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) และภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาล (Universal Tariff) เมื่อวันพุธ (2 เม.ย.) โดยภาษีศุลกากรตอบโต้จะแตกต่างกันไปเป็นรายประเทศ ขึ้นอยู่กับการตั้งกำแพงภาษีของประเทศนั้น ๆ ที่มีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. โดยจีนถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตรา 34%
ส่วนภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาลจะอยู่ที่ระดับ 10% เท่ากันทุกประเทศ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย.