Xinhua's Interview: ผู้เชี่ยวชาญชี้เครดิตสหรัฐเสี่ยงถูกหั่น เหตุปัญหาการคลังยังยืดเยื้อ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday October 16, 2013 16:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

การเล่นเกมการเมืองและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงัดข้อด้านการคลังที่ยืดเยื้อระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันนั้น อาจจะทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายรายปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงจากระดับ AAA

นายจาค็อบ เคิร์กการ์ด ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสจากสถาบันปีเตอร์สัน อินสติติวท์ ฟอร์ อินเตอร์เนชันแนล อิโคโนมิคส์ กล่าวเตือนเมื่อวานนี้ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อของสหรัฐโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆนั้น ใกล้ที่จะเป็นเรื่องจริงแล้ว เนื่องจากภาวะชะงักงันที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

เมื่อเดือนส.ค. 2554 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) ได้ตัดสินใจลดอันดับความน่าเชื่อสหรัฐที่ระดับ AAA มาแล้ว หลังจากที่ได้มีการขัดแย้งอย่างรุนแรงเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนถึงประสิทธิภาพของระบบการเมืองสหรัฐในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นของประเทศ

รัฐบาลกลางสหรัฐต้องปิดหน่วยงานบางส่วนลงเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา และนายจาค็อบ ลิว รัฐมนตรีคลังสหรัฐก็ได้ออกมาเตือนว่า จำเป็นต้องบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้ให้ได้ไม่เกินวันที่ 17 ต.ค.นี้

เมื่อวานนี้ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศเครดิตพินิจเชิงลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐที่ AAA โดยระบุว่าความล่าช้าในการปรับเพิ่มเพดานหนี้จะทำให้เกิดความผันผวนและสร้างความเสียหายแก่คุณภาพเครดิตของสหรัฐ

นายเคิร์กการ์ดกล่าวต่อไปว่า "หากเรายังไม่สามารถตกลงกันเรื่องเพดานหนี้ได้ภายในวันที่ 17 ต.ค. ทางการจะต้องจัดลำดับความสำคัญของการชำระหนี้และดอกเบี้ย และจะไม่มีการผิดนัดชำระหนี้"

อย่างไรก็ดี นายเคิร์กการ์ดกล่าวว่า เมื่อประเมินถึงการจัดลำดับความสำคัญของค่าใช้จ่ายดังกล่าว รัฐบาลจะต้องมีการลดรายจ่ายอื่นๆลงอย่างมากเพื่อให้ยอดขาดดุลงบประมาณอยู่ในช่วง 3-4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)

สมาชิกพรรครีพับลิกันจำนวนมากเชื่อว่า สหรัฐสามารถจัดลำดับความสำคัญในการนำรายได้ของรัฐบาลกลางไปชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของหนี้สินของประเทศ ซึ่งก็เหมือนกับกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากทั้งสองสภาและมีการลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายโดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ด้านงานบริการของสหรัฐจะได้รับค่าจ้างในช่วงการปิดหน่วยงานราชการบางส่วนของสหรัฐ หรือ ชัตดาวน์ และเพื่อรับประกันว่าสหรัฐจะสามารถเลี่ยงภาวะผิดนัดชำระหนี้ได้ แต่พรรคเดโมแครตคัดค้านแนวทางนี้

นายเคิร์กการ์ดกล่าวว่า หากรัฐบาลสหรัฐจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของรายจ่าย สหรัฐจะถลำสู่ภาวะถดถอยอันเนื่องมาจากปัญหาด้านการคลัง แม้ว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้ก็ตาม

"เรื่องนี้จะส่งกระทบเชิงลบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกอย่างชัดเจนด้วย อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดว่าสถานการณ์นี้จะเกิดขึ้น และไม่คิดว่ารีพับลิกันจะสามารถยึดมั่นในจุดยืนขณะที่ตลาดมีปฏิกริยาเชิงลบอย่างมาก หรือหลังจากผ่านพ้นกำหนดเส้นตายวันที่ 17 ต.ค.ไปแล้ว" นายเคิร์กการ์ดกล่าว

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้กล่าวต่อไปว่า "เราคงจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ที่คล้ายกับช่วงที่มีการหารือเรื่องโครงการให้ความช่วยเหลือสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (TARP) อีกครั้งเหมือนกับช่วงเดือนต.ค. 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดการเงินมีปฏิกริยาที่เป็นลบอย่างมากต่อการปฏิเสธโครงการ TARP ในครั้งแรก แต่หลังจากอีก 4 วัน ก็มีการโหวตกันอีกครั้งเพื่ออนุมัติโครงการดังกล่าว ดังนั้น ผมจึงคาดว่าจะมีการตกลงกันได้ในสัปดาห์หน้าหรือหลังจากนั้น แต่ผมเชื่อว่าตลาดจะต้องมีปฏิกริยาเชิงลบอย่างมากก่อน การตกลงจึงจะเกิดขึ้น"

โครงการ TARP ถูกนำมาใช้ช่วงวิกฤตการเงินปี 2551 และสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากได้คัดค้านโครงการดังกล่าวในครั้งแรก และส่งผลให้ตลาดหุ้นร่วงลง ก่อนที่โครงการดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรในท้ายที่สุด

"ในสถานการณ์ที่รัฐบาลเสียงแตกเช่นในปัจจุบันนั้น พรรคการเมืองพรรคหนึ่งตัดสินใจใช้ประเด็นเพดานหนี้เป็นอาวุธทางการเมืองในการดึงเศรษฐกิจประเทศไว้เป็นตัวประกัน เพื่อให้อีกพรรคยอมอ่อนข้อให้ หลังจากนั้น สหรัฐจะเข้าสู่ช่วงของภาวะการเมืองไร้เสถียรภาพอย่างถาวร และยังทำให้การลงทุนและการขยายตัวลดลง ซึ่งหมายความว่าการยกเลิกเพดานหนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล"

นายเคิร์กการ์ดกล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะไม่มีทางเป็นไปได้จนกว่าทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันจะเห็นชอบที่จะทำเช่นนั้น หรือมีแนวโน้มมากกว่าที่พรรคเดโมแครตจะครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภาของคองเกรสและทำเนียบขาว ซึ่งก็จะสามารถยกเลิกเพดานหนี้ได้ สถานการณ์เช่นนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเร็วที่สุดหลังการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2557

เจียง ซูเฟิง จากสำนักข่าวซินหัวรายงาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ