นายสต็อคตัน ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สันด้วยนั้น กล่าวว่า “ผมกำลังคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.ปีนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจมีขึ้นในเดือนมิ.ย.เป็นอย่างเร็ว และอาจจะล่าช้ากว่านั้นเล็กน้อย แต่ผมคิดว่ากำลังจะถึงจุดเปลี่ยน"
เขาให้สัมภาษณ์กับซินหัวว่า นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดไม่ได้แสดงความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และ “ให้ความสนใจกับตลาดแรงงานมากกว่า" ในการแถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปูทางสำหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้
นักเศรษฐศาสตร์รายนี้กล่าวเสริมว่า เฟดอาจจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบั้ย แม้ว่าเงินเฟ้อยังต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% ตราบใดที่ตลาดแรงงานยังคงปรับตัวดีขึ้น โดยระบุว่าตลาดแรงงานเป็นมาตรวัดเกี่ยวกับการฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐที่มีความถูกต้องมากกว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าหลังจากเผชิญวิกฤตการเงิน แต่ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า การจ้างงานขยายตัวเฉลี่ย 275,000 ตำแหน่งต่อเดือนในปีที่แล้ว และอัตราว่างงานลดลงแตะ 5.5% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่เดือนพ.ค.2551
นายสต็อคตันคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวที่ราวระดับเดียวกับปีที่แล้ว และจะสูงกว่าอัตราการขยายตัวตามศักยภาพในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้า แม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะอ่อนแรงในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น การปรับสต็อกสินค้าคงคลังและดอลลาร์ที่แข็งค่า
แต่เฟดจะมีความระมัดระวังในการตัดสินใจเกี่ยวกับช่วงเวลาในการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ย อันเนื่องมาจากการขยายตัวที่อ่อนแอในช่วงไตรมาสแรก
“ข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กำลังจะมีการเปิดเผยอาจจะอ่อนแรงอยู่บ้าง นั่นอาจทำให้เกิดความวิตกว่านั่นจะส่งผลกระทบต่อการปรับตัวดีขึ้นของตลาดแรงงานหรือไม่" นายสต็อคตันกล่าว โดยเสริมว่านางเยลเลนได้ส่งสัญญาณว่าต้องการประเมินข้อมูลมากขึ้นเพื่อที่จะยืนยันถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ เฟดได้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับต่ำใกล้ 0% มานับตั้งแต่เดือนธ.ค.2551