นายชาลาลัมโปส กอทซิส ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยพิเรอุส กล่าวกับซินหัวว่า “การผิดนัดชำระหนี้อาจนำไปสู่การล่มสลายของระบบธนาคาร และผลกระทบจะรุนแรงเกินควบคุม"
อย่างไรก็ตาม นายกอทซิสได้สร้างความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และจะมีทางออกในเร็วๆนี้
เพื่อเลี่ยงภาวะล่มสลายของเศรษฐกิจกรีซ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้สั่งปิดธนาคารทุกแห่ง และตลาดหุ้นกรีซปิดทำการเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ขณะที่มีการประกาศมาตรการควบคุมเงินทุน
ประชาชนสามารถถอนเงินได้ไม่เกิน 60 ยูโร (ราว 67 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อวันจากตู้เอทีเอ็ม ซึ่งมีผู้ต่อคิวยาวเหยียดหน้าธนาคารต่างๆ
“เมื่อมีการประกาศมาตรการควบคุมเงินทุน ก็มีปัญหาในการทำธุรกรรมไปยังและจากกรีซ ขณะที่การทำธุรกรรมรายใหญ่ๆจะได้รับการตรวจสอบจากคณะกรรมการอนุมัติการทำธุรกรรมด้านการธนาคารเป็นรายกรณีไป" นายกอทซิสอธิบาย
ในประเด็นคำถามที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการลดมูลค่าเงินฝากแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในไซปรัสหรือไม่นั้น นายกอทซิสกล่าวปฏิเสธ โดยตอบว่า
“สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาในระบบธนาคารของไซปรัสมีความแตกต่างกับกรีซอย่างสิ้นเชิง ระบบธนาคารของกรีซเผชิญปัญหา อันเนื่องมาจากวิกฤตหนี้ ซึ่งเราไม่เคยเจอมาก่อน ดังนั้น แนวทางแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบธนาคาร"
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าจะมีการกำหนดมาตรการปรับลดมูลค่าเงินฝาก หากเงินทุนของธนาคารไม่เพียงพอ และไม่สามารถใช้วิธีอื่นได้
ศาสตราจารย์รายนี้มีมุมมองบวกว่า หลังการลงประชามติในวันที่ 5 ก.ค. จะมีการกำหนดกระบวนการสำหรับข้อตกลงเฉพาะหน้า ดังนั้น กรีซจะไม่ต้องตัดสินใจที่ยากลำบากในลักษณะดังกล่าวอีก
“ข้อเสนอในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินมีมาตรการที่เจ็บปวด ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น แต่เราคาดว่าจะมีการสนับสนุนด้านเงินทุนจากมาตรการช่วยเหลือ 3.5 หมื่นล้านยูโรซึ่งนายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานยูโรกรุ๊ป ได้ให้คำมั่นไว้ และมาตรการกระตุ้น 1.1 ล้านล้านยูโรจากนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป"
ส่วนในประเด็นที่ว่าประชามติในอาทิตย์นี้เป็นการเลือกระหว่างการอยู่หรือไปจากยูโรโซนหรือไม่นั้น นายกอทซิสกล่าวว่า ไม่ว่ารัฐบาลกรีซหรือนักการเมืองบางรายอาจจะมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่นั้น เขาเชื่อมั่นว่าชาวกรีกส่วนใหญ่ต้องการและเรียกร้องให้กรีซอยู่ในยูโรโซนและในยุโรปต่อไป
“เนื่องจากกรีซเป็นสมาชิกรายแรกของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปนับตั้งแต่ปี 2504 และเป็นสมาชิกอันดับที่ 10 ของสหภาพยุโรป เราเชื่อว่าพลเมืองยุโรปจะจับมือกันไปด้วยกันกับพลเมืองกรีซ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกจากกันได้" ศาสตราจารย์ระบุ