เจ้าหน้าที่อาวุโสแห่งองค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยว่า การเปิดเสรีด้านการลงทุนของจีนโดยอาศัยการปฏิรูปการลงทุน จะช่วยเสริมให้อัตราการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ขยายตัวดีขึ้น
เจมส์ ซาน ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนและองค์กร ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า นักลงทุนจีนมีความเคลื่อนไหวกันมากขึ้น และมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีนก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รายงานการลงทุนประจำปีของ UNCTAD ในปี 2558 ระบุว่า จีนถือเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐและญี่ปุ่น
รายงานดังกล่าวระบุว่า เม็ดเงิน FDI ที่หลั่งไหลเข้าสู่ภาคการเงินของจีนอยู่ที่ 1.36 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เม็ดเงิน FDI ที่ไหลออกนอกประเทศอยู่ที่ 1.28 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนายซานระบุว่า "เม็ดเงิน FDI ของจีนคิดเป็นสัดส่วน 10% ของตัวเลข FDI ทั่วโลก"
ในปี 2558 ตัวเลข FDI ทั่วโลกดีดตัวขึ้นแตะ 1.76 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์ในปี 2550
อย่างไรก็ตาม UNCTAD เตือนว่า มูลค่า FDI ในปีนี้จะหดตัวลง 10-15% เว้นเสียแต่ว่าจะมีข้อตกลงด้านการซื้อขายระหว่างประเทศเกิดขึ้น หรือมีการปรับโครงสร้างการลงทุนดังกล่าว
นายซานคาดการณ์ว่า "มูลค่า FDI ในจีนจะยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นเดิม แต่จะไม่มีการขยายตัวเพิ่มมากนักในปี 2559"
นอกจากนี้ นายซานเสริมว่า การปรับเปลี่ยนโครงสร้าง FDI จีนจะช่วยสร้างโอกาสที่ดีให้แก่ประเทศ เนื่องจากปริมาณเม็ดเงิน FDI ที่หลั่งไหลเข้ามานั้น จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา รวมถึงภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์
"ในส่วนของเม็ดเงินที่ไหลออกนอกประเทศนั้น ผมคิดว่า จีนจะมีความเคลื่อนไหวในด้านการเข้าถือครองบริษัท และการลงทุนในธุรกิจสีเขียว"
ทั้งนี้ มูลค่า FDI จะยังขยายตัวต่อไปในปี 2560 และคาดว่า ตัวเลข FDI ในปี 2561 จะมีมูลค่ามากกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ