นายมาโคร คาร์ราสโซ นักเศรษฐศาสตร์ชาวเปรู กล่าวว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐมีไสตล์การบริหารประเทศแบบพร้อมเผชิญหน้า และการตัดสินใจแบบไม่ปรึกษาใครของทรัมป์ ถือเป็นการทำงานที่ย่ำแย่
ทรัมป์ยึดมั่นในคำสัญญาที่เคยกล่าวไว้ตอนหาเสียง และได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะดำเนินนโยบายต่างๆเพียงลำพัง แม้จะขัดแย้งกับความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ก็ตาม
ภายในระยะเวลาเพียงไม่นานในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น ทรัมป์ได้ผลักดันให้สหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยงด้านรัฐธรรมนูญ ด้วยการตัดสินใจดำเนินนโยบายที่ขัดกับข้อกฎหมายและสร้างความตื่นกลัวแก่ประเทศอื่นๆ โดยใช้สงครามทางการค้าและกล่าวการโจมตีหน่วยงานทางทหาร
นายคาร์ราสโซ นักเศรษฐศาสตร์ผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมจากมหาวิทยาลัยปารีส-ซอร์บอนน์ ในฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวซินหัวว่า "การทำงานแบบฉายเดี่ยวของทรัมป์ถือเป็นการดำเนินการที่แย่มากในความคิดของผมและของคนส่วนใหญ่ แม้แต่ประชาชนในสหรัฐเองก็ตาม"
นโยบายการคว่ำบาตรทางการค้าของทรัมป์มีเป้าหมายหลักคือ การสร้างผลกระทบต่อเม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ชาวเม็กซิโกผู้ทำงานในสหรัฐส่งกลับไปยังบ้านเกิดของตนในแต่ละปี รวมถึงอุตสาหกรรมน้ำมันของเม็กซิโกที่ส่งออกผลผลิตน้ำมันให้แก่สหรัฐ
นักวิเคราะห์กล่าวว่า เม็กซิโกและเปรูเป็น 2 ประเทศหลักในอเมริกากลางที่มีผู้อพยพอาศัยอยู่ในสหรัฐเป็นจำนวนมาก พร้อมระบุว่า การจ่ายภาษีเริ่มกลายมาเป็นปัญหาของประเทศในแถบละตินอเมริกาทุกประเทศ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเตรียมเจรจาแก้ไขความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ที่สหรัฐได้ลงนามร่วมกับเม็กซิโกและแคนาดา โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ให้แก่อุตสาหกรรมและคนงานสหรัฐ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวจะสร้างปัญหาในอนาคตให้แก่ผู้ผลิตชาวเม็กซิโก โดยจะก่อให้เกิดอุปสรรคมากมายในการเข้าถึงตลาดสหรัฐ
"นโยบายของทรัมป์จะบีบให้เม็กซิโกต้องพิจารณาอีกครั้งถึงประโยชน์ที่จะได้จากการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐ หรือถึงเวลาที่จะมองหาตลาดแห่งใหม่" นายคาร์ราสโซกล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน