นายพานาเกียทิส เพทราคิส ศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย National and Kapodistrian University of Athens ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า เศรษฐกิจกรีซเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความผันผวนอีกระลอก แม้ว่า วิกฤตการเงินจะผ่านพ้นมาเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้วก็ตาม
วิกฤตหนี้กรีซเมื่อปี 2552 ถือเป็นอีกหนึ่งผลพวงจากวิกฤตที่เกิดขึ้นในระดับโลก รวมทั้งสาเหตุจากภายในประเทศเองด้วยเช่นกัน กรีซเข้าสู่ยุคของโลกาภิวัฒน์ด้วยโครงสร้างการผลิตที่ไม่แข็งแกร่ง ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเป็นเวลา 7 ปี แม้ว่าจะมีความก้าวหน้า แต่ภาวะที่ขาดแคลนเงินสดก็ยังคงอยู่ การปรับโครงสร้างพื้นฐานการผลิตควรจะตกเป็นเป้าหมายที่ผู้บริหารระดับนโยบายควรที่จะหาทางออกโดยเร็ว
เพทราคิส มีความเห็นเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่และนักเศรษฐศาสตร์รายอื่นๆที่มองว่า แนวทางคลี่คลายวิกฤตกรีซที่ได้มีการนำมาใช้แล้วนั้น ยังไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ กรีซจึงต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยาวนาน แม้ว่า ตัวเลขด้านการคลังจะมีเสถียรภาพขึ้น แต่อัตราว่างงานก็ลดลงในอัตราที่ไม่รวดเร็วเท่าไรนัก ด้วยสถิติดังกล่าว กรีซจึงยังคงต้องใช้เวลาอีกถึง 10 ปีกว่าที่ผู้ว่างงานเหล่านี้จะสามารถหวนกลับสู่ตลาดแรงงานได้อีกครั้ง และเมื่อนั้น โครงสร้างการผลิตรุ่นใหม่ก็จะเกิดขึ้นตามมา
ทั้งนี้ ภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองในกรีซเองก็มีส่วนซ้ำเติมวิกฤตที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
หากถามว่า โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่างๆนานาเป็นทางออกหรือไม่ เพทราคิส กล่าวว่า กรีซต้องการเงินช่วยเหลือในลักษณะดังกล่าวแน่ๆ แต่กรีซเองก็จำเป็นต้องได้รับการปรับลดภาระหนี้ลงในช่วงต้นวิกฤตด้วยเช่นกัน
เพทราคิส ย้ำว่า เราต้องใช้วิธีการที่ดีกว่านี้ และพันธมิตรของเราก็จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพียงชั่วข้ามคืน ประชาชนและสถาบันต่างๆไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงกันได้ง่ายๆ
ประชาชนเองก็รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นและรอคอยข้อเสนอดีๆที่จะมีเข้ามา เรื่องราวของการกระจายความร่ำรวยนำไปสู่ทางตันในที่สุด เราต้องสร้างความร่ำรวยขึ้นมาใหม่และผมเชื่อว่า เรายังอยู่ ณ จุดนี้
หากถามถึงแนวโน้มเศรษฐกิจกรีซแล้ว นายเพทราคิส กล่าวย้ำว่า การผิดนัดชำระหนี้และสถานการณ์ที่ว่ากรีซจะต้องถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปไม่ใช่เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ แต่อะไรๆก็สามารถเกิดขึ้นได้ ปัญหาด้านการสื่อสารเมื่อเดือนก.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่กรีซต้องชำระหนี้สินอาจจะนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ได้ แต่สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาแต่อย่างใด
เพทราคิส กล่าวว่า ควรจะหาทางออก และกรีซเองก็จะได้ก้าวไปสู่หนทางแห่งการเติบโตในที่สุด
แม้ว่า เศรษฐกิจจะอ่อนตัว อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปี 2560 ที่ 1-1.5% จะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ทุกๆอย่างก็น่าจะเป็นไปได้ ประชาชนชาวกรีซเองก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่เป็นบวกในเรื่องของการเงินส่วนบุคคลได้ในปีหน้า
"ในปีต่อๆไป สภาพคล่องในภูมิภาคก็จะเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในแง่ของการเมืองระดับสากลเพื่อที่จะรับมือกับภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจ" เพทราคิส กล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน