นายคริสเตียน เวอร์ชูเรน ผู้อำนวยการทั่วไปของ EuroCommerce ซึ่งเป็นกลุ่มตัวแทนค้าปลีกและส่งของสหภาพยุโรป (EU) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า นโยบายกีดกันทางการค้า จะส่งผลกระทบต่อทุกฝ่าย และทำให้เศรษฐกิจได้รับความเสียหาย เนื่องจากผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจจำเป็นต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าหรือวัตถุดิบชนิดเดิม
"ศักยภาพในการแข่งขันและผลประโยชน์ของผุ้บริโภคในยุโรปจะดีขึ้นกว่านี้ หาก EU จำกัดการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า" เวอร์ชูเรนกล่าว
เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา ประเทศสมาชิก EU ได้เห็นชอบเกี่ยวกับมาตรการใหม่ในการตอบโต้การทุ่มตลาดที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งประกอบด้วยการทบทวนวิธีการคำนวณราคาที่เข้าข่ายการทุ่มตลาด
ในปัจจุบัน การวิเคราะห์ของ EU ในการพิจารณาว่าประเทศใดใช้มาตรการทุ่มตลาดนั้น จะแบ่งออกตามประเภทเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ สำหรับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ระบบตลาด EU จะทำการเปรียบเทียบราคาส่งออกของประเทศดังกล่าวกับประเทศตัวแทน หรือ "surrogate country" แทนที่จะเปรียบเทียบกับราคาขายเหมือนกับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบตลาด
สำหรับมาตรการใหม่ในการตอบโต้การทุ่มตลาดฉบับทบทวนนี้ จะเปิดทางให้ EU สามารถกำหนดราคาสินค้าใหม่ โดยอ้างอิงจากราคาสินค้าประเภทเดียวกันในประเทศที่สามที่มีระดับเศรษฐใกล้เคียงกับประเทศต้องสงสัย
ด้านนายเปา หย่งชิง ทนายความด้านการค้าระหว่างประเทศจาก Steptoe & Johnson LLP ในกรุงบรัสเซลส์กล่าวว่า EU ไม่ได้ยกเลิกการใช้ระบบประเทศอ้างอิง เพียงแต่ใช้ประเทศเหล่านี้ในทางอ้อม ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตในประเทศที่สามต้องเผชิญกับกำแพงภาษีที่สูงขึ้นไปอีก
"เป็นที่ชัดเจนว่า นโยบายกีดกันทางการค้าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากผู้บริโภคและธุรกิจปลายน้ำจำเป็นต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าหรือวัตถุดิบชนิดเดิม" นายเปา กล่าว
ด้านนายเวอร์ชูเรนเสริมว่า "ผู้ที่แบกรับผลกระทบจากภาษีเหล็กกล้ารายแรกคือผู้นำเข้าในยุโรปและธุรกิจค้าส่ง ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบรายสุดท้ายก็คือผู้บริโภคนั่นเอง"
ทั้งนี้ นายเวอร์ชูเรนได้ให้คำมั่นว่า EuroCommerce จะยังคงยึดมั่นในการค้าเสรี และการค้าที่เป็นไปอย่างยุติธรรม