Analysis: นักวิเคราะห์คาดตลาดหุ้นพุ่งต่อหลังวอลล์สตรีททะยานขานรับถ้อยแถลงเบอร์นันเก้

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 12, 2013 17:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หนุนให้ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และ S&P 500 พุ่งขึ้นสู่ระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากถ้อยแถลงที่เกื้อหนุนของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้น 169.26 จุด หรือ 1.11% แตะที่ 15,460.92 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 22.40 จุด หรือ 1.36% ปิดที่ 1,675.02 จุด ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 57.54 จุด หรือ 1.63% สู่ระดับ 3,578.30 จุด

ภายหลังตลาดหุ้นสหรัฐเทกระดานร่วงลงในเดือนมิ.ย. ตลาดก็กลับมาผงาดอีกครั้งในเดือนก.ค. นับตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.นี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 3.7% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 4.3% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 5.1% พลิกขึ้นมาจากเดือนมิ.ย.ที่ร่วงลงกว่า 1%

ระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ครั้งก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นช่วงสิ้นเดือนพ.ค. และโดนถ่วงอย่างหนักหลังนายเบอร์นันเก้แถลงต่อสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ว่า เฟดอาจลดขนาดโครงการซื้อสินทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้ ตลาดร่วงลงอีกหลังนายเบอร์นันเก้เสนอช่วงเวลายุติโครงการ QE เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ภายหลังการประชุมกำหนดนโยบายครั้งล่าสุดของเฟด ซึ่งกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายในตลาดทั่วโลกเป็นวงกว้าง

ตลาดหุ้นพุ่งทำสถิติใหม่ขานรับถ้อยแถลงที่เกื้อหนุนของเบอร์นันเก้

นักวิเคราะห์และเทรดเดอร์ต่างเห็นตรงกันว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงที่เกื้อหนุนของนายเบอร์นันเก้ ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นส่วนหนึ่งให้แก่นักลงทุนว่า เฟดจะยังไม่ยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงประมาณในเร็วๆนี้

เคนเนธ โพลคารี ผู้อำนวยการฝ่ายการดำเนินงานในห้องค้าหุ้นตลาดหุ้นนิวยอร์ก จากโอ'นีลด์ ซีเคียวริตีส์เปิดเผยผ่านสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า การพุ่งขึ้นของตลาดเกี่ยวพันกับเฟดแน่นอน

นายเบอร์นันเก้กล่าวที่สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐในวาระการตอบคำถามว่า นโยบายผ่อนคลายทางการเงินอย่างมากสำหรับอนาคตอันใกล้นี้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ เขายังเปิดเผยว่า จะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยอัตโนมัติหากอัตราว่างงานอยู่ที่ 6.5%

อันที่จริง ประธานเฟดไม่ได้พูดถึงประเด็นใหม่ๆเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเคยพูดมาในช่วงก่อนหน้านี้ แต่การที่เขาเน้นเรื่อง "การผ่อนคลายอย่างมาก" ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาที่ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศในตลาดและบดบังกระแสข่าวเรื่องเฟดจะชะลอ QE

"ผมเชื่อว่าแรงหนุนที่กลับมาสู่ตลาดเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการสื่อสารจากฝั่งเฟดว่านโยบายผ่อนคลายจะยังคงมีอยู่ในอนาคตอันใกล้" เกรกอรี คีทติ้ง กรรมการผู้จัดการของ อี. คอฟฟีย์ ซีเคียวริตีส์ในนิวยอร์ก เปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัว

เขากล่าวว่า นโยบายที่เคยส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจะยังคงมีอยู่

ดัชนีดาวโจนส์เตรียมทดสอบระดับ 16,000 จุด และดัชนี S&P ใกล้แตะระดับ 1,750 จุด

คีทติ้งคาดการณ์ว่า ตลาดน่าจะเคลื่อนตัวไปในทิศทางขาขึ้นเช่นนี้ต่อไปในระยะใกล้ และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นในปีนี้

ดัชนี S&P 500 ดีดขึ้นประมาณ 6.5% จากระดับต่ำสุดของวันที่ 24 มิ.ย. ซึ่งเกิดแรงเทขายที่สูงเกินไปในระยะนั้น "ผมคิดว่าตลาดกำลังจะรักษาระดับได้ หากไม่เคลื่อนขึ้นเล็กน้อย การดีดตัวขึ้นคงจะไม่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วคราวแน่นอน" คีธ บลิสส์ รองประธานอาวุโสและผู้อำนวยการแผนการขายและการตลาดของคัตทัน แอนด์ คอมพานีเปิดเผยกับซินหัว

"ผมว่าเรากำลังจะอยู่ที่จุดที่เราจะซื้อขายกันในกรอบแคบๆไประยะหนึ่ง ตราบใดที่เฟดส่งเสียงอะไร ก็ไม่มีสาเหตุใดที่บ่งชี้ว่ากำลังจะเกิดแรงเทขายหรือการปรับฐานเอง" บลิสส์ตั้งข้อสังเกต พร้อมระบุว่า ตลาดยังมีแรงซื้ออยู่ในขณะนี้ หากมองในทางเทคนิค

เจสัน เอ ไวซ์เบิร์ก เทรดเดอร์อาวุโสจากซีพอร์ต ซีเคียวริตีส์เสนอมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ เขาคาดการณ์ว่า ตลาดจะปรับตัวขึ้นอย่างมาก ตลาดจะปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ดัชนีดาวโจนส์อาจอยู่ที่ระดับ 16,000 จุด ถ้าไม่สูงกว่านี้ ส่วนดัชนี S&P จะอยู่ที่ 1,750 จุด หรือ 1,775 จุด"

เมื่อพูดเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด ไวส์เบิร์กมีมุมมองว่า ยิ่งเฟดมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยลงก็จะยิ่งดีต่อสถานการณ์และตลาดหุ้น "นักลงทุนระยะยาวส่วนใหญ่จะบอกคุณว่าเขาเลือกที่จะให้เฟดมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยลง และขอให้มีการประยุกต์ใช้กฎเกณฑ์ของอุปสงค์และอุปทานกับตลาดมากขึ้น" เขากล่าว

ไวส์เบิร์กเชื่อว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะสามารถพึ่งตัวเองได้ แม้จะไร้ความช่วยเหลือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟดในระยะนี้และหลังจากนั้น"

ฤดูเผยผลประกอบการไตรมาส 2: ปัจจัยที่สำคัญสำหรับตลาดหุ้น

ฤดูกาลเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ของภาคเอกชนสหรัฐเปิดฉากขึ้น ด้วยผลประกอบการที่เกินคาดการณ์เล็กน้อยของอัลโค อิงค์ บริษัทผู้ผลิตอลูมีเนียมรายใหญ่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ข่าวดังกล่าวหนุนการพุ่งขึ้นของตลาดวอลล์สตรีทในวันอังคาร

แต่ในขณะนี้ สายตาทุกคู่กำลังจับตาผลประกอบการของเจพี มอร์แกนเชส และเวลส์ ฟาร์โก ที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงผลประกอบการของธนาคารสหรัฐรายใหญ่ คาดว่า รายงานผลประกอบการของทั้งสองบริษัทจะกำหนดบรรยากาศฤดูการเปิดเผยผลประกอบการครั้งใหม่

เดิมทีนั้น เมื่อผลประกอบการของเอกชนออกมาสูงกว่าคาดการณ์ของตลาด ตลาดหุ้นจะขานรับในทิศทางที่เป็นบวก แต่นักวิเคราะห์เตือนว่า นักลงทุนจะพิจารณาผลประกอบการภาคเอกชนสหรัฐในไตรมาส 2 ถี่ถ้วนขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ภายใต้สถานการณ์ที่ว่า เฟดจะชะลอ QE ดังนั้นฤดูเปิดเผยผลประกอบการใหม่นี้จะเป็นปัจจัยที่ยังไม่มีความชัดเจนหรือเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาดูสำหรับตลาด

นักลงทุนพยายามหามุมมองที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับทิศทางของบริษัทในไตรมาส 2 ในขณะที่จะมีการเปิดเผยผลประกอบการมากขึ้น เพื่อที่นักลงทุนจะได้เข้าใจภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐได้ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลจากธอมสัน รอยเตอร์ส ระบุว่า ผลประกอบการของบริษัทที่เทรดในดัชนี S&P 500 ในไตรมาส 2 คาดว่า จะขยายตัว 2.5% จากปีที่แล้ว ขณะที่รายได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5% นักวิเคราะห์ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ว่าผลประกอบการไตรมาส 1 จะขยายตัว 6.1% ส่วนผลประกอบการไตรมาสคาดว่า จะขยายตัวแค่ 3.7%

"ผมคิดว่าผลประกอบการไตรมาส 2 คงจะไม่ผิดความคาดหมายไปทั้งหมด แต่ถ้ามองตามความเป็นจริง ผลประกอบการจะไม่ออกมาดีแน่นอน" บลิสส์กล่าว

"สิ่งที่ผมดูคือยอดขายสินค้าตัวท็อป หรือรายได้รวม เพราะเป็นสิ่งที่บ่งชี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจากจุดที่ว่า ของขายไปได้เยอะเท่าไหร่ กิจกรรมเศรษฐกิจมีมากขึ้นหรือไม่" นายบลิสส์กล่าวเสริม

บทวิเคราะห์โดยเจียง ฮั่นลู๋ และ หลิ่ว ฟั่น สำนักข่าวซินหัวรายงาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ