ไม่กี่ปีมานี้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้ดึงดูดเม็ดเงินเป็นจำนวนมาก เนื่องจากธนาคารกลางต่างๆของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้ดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเป็นพิเศษ ซึ่งกดให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลงและทำให้ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม กระแสเงินไหลเข้าดังกล่าวเริ่มถดถอยลง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจเริ่มลดขนาดโครงการซื้อพันธ์บัตร หรือ QE3 ภายหลังการประชุมครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 17-18 ก.ย. ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความผันผวนในตลาดเงิน พันธบัตรและหุ้นทั่วโลก
นายฮุง ทราน กรรมการผู้จัดการบริหารของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) เปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า ความโกลาหลในตลาดการเงินทั่วโลกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งรวมถึง การตัดสินใจของเหดในการชะลอมาตรการ QE3, ข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่สดใสเมื่อเร็วๆนี้, เศรษฐกิจยูโรโซนที่มีเสถียรภาพ ตลอดจนความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะโจมตีทางทหารต่อซีเรีย ซึ่งได้ส่งผลกระทบในวงจำกัดและในระยะสั้นต่ออตลาด
นายทรานตั้งข้อสังเกตว่า ความเคลื่อนไหวที่ใหญ่ที่สุด คือ "การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ด้านสภาพคล่องและดอกเบี้ยนโยบายในอัตราเกือบเป็น 0%" ในประเทศขนาดใหญ่ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเริ่มยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่
*วิกฤตตลาดเกิดใหม่ไม่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น
แม้ว่าสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่เผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่นายทรานเชื่อว่าภาวะความปั่นป่วนของตลาดไม่มีแนวโน้มจะพัฒนาจนกลายเป็นวิกฤตการเงินเหมือนอย่างวิกฤตเอเชียปี 2539-2541
ประการแรก เนื่องจากตลาดการเงินโลกได้ปรับตัวรับการเริ่มชะลอมาตรการ QE ของเฟดไว้แล้ว ดังนั้น ในท้ายที่สุดแล้วจะก็จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก หากมีการชะลอมาตรการดังกล่าวจริง
ประการที่สอง ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นมากขึ้นและมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากกว่าเดิม และไม่พบภาวะไร้สมดุลทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญๆจนถึงขณะนี้
ประการที่สาม นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ไอเอ็มเอฟพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทางการเงิน หากตลาดเกิดใหม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือดังกล่าวนั้นในช่วงที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตร
บทวิเคราะห์โดยเก๋า ปัน