ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐ และรัสเซีย ได้บรรลุข้อตกลงเพื่อที่จะทำให้อาวุธเคมีของซีเรียอยู่ภายใต้การควบคุมของประชาคมโลก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กองกำลังทหารของสหรัฐในซีเรีย แต่ไม่กี่วันต่อมา สหรัฐ และรัสเซียกลับมีความเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องการบังคับใช้ข้อตกลงดังกล่าว
สหรัฐต้องการให้มีการระบุเงื่อนไขของการใช้กำลังทางทหารเป็นมาตรการลงโทษหากนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรียไม่ยอมรับข้อตกลงในการเปิดเผยข้อมูลคลังอาวุธเคมี และยินยอมให้คณะผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เข้าไปยังซีเรีย
แต่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จะระบุในมติข้อตกลงเรื่องการเปิดทางให้สหรัฐใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อเป็นการลงโทษซีเรีย หากรัฐบาลซีเรียไม่ให้ความร่วมมือด้วยหรือไม่
สตีเฟน ไพเฟอร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเครน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า "ผมคาดว่ารัสเซียกำลังเจอปัญหาใหญ่ในการคลี่คลายเรื่องนี้"
เขากล่าวถึงการเจรจาต่อรองที่สำนักงานใหญ่ยูเอ็นว่า "เรากำลังติดตามดูอยู่ว่าการเจรจาและท่าที่ของสหรัฐจะออกมารูปแบบใด"
นายเซอร์ไก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศรัสเซียไม่สนใจคำเรียกร้องให้ยูเอ็นอนุมัติให้ระบุเงื่อนไขเรื่องการใช้กองกำลังทหารกับซีเรีย หากปธน.ซีเรียไม่ยอมทำตามแผนการส่งมอบอาวุธเคมี โดยให้เหตุผลว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวยัง "ขาดความเข้าใจ" ในแผนการแก้ปัญหา
สตีเฟน ไพเฟอร์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งระดับอาวุโสที่สถาบันบรูคกิงส์ อินสติทิวชั่น กล่าวว่า "ทั้ง 2 ฝ่ายเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยุ่งยาก แต่การที่สหรัฐให้ความร่วมมือกับรัสเซียในการกำหนดข้อตกลงถือเป็นความคืบหน้าในด้านความสัมพันธ์อันดี"
เขาระบุว่า "เรายังคงต้องจับตาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และวิธีการแก้ไขปัญหาต่อไป"
บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างกล่าวถึงข้อตกลงดังกล่าวว่า ข้อตกลงที่เย็นชาระหว่างสหรัฐ และรัสเซีย ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันมากเรื่องซีเรีย ซึ่งความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศยังคงมึนตึง หลังจากที่รัสเซียให้ที่หลบภัยแก่เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผู้เปิดเผยความลับทางราชการ ซึ่งทำให้สหรัฐขุ่นเคือง
ผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนถึงเรื่องการขนานนามความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ และรัสเซีย เพราะความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศอยู่ในช่วงหลังสงครามเย็น ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 2 ประเทศต่างเห็นด้วยกับประเด็นต่างๆ อาทิ คาบสมุทรเกาหลี อิหร่าน และการปลดอาวุธนิเคลียร์
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า รัสเซียถูกชักจูงโดยความกระหายที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งเป็นผู้นำแถวหน้าของโลกประเทศหนึ่งบ้าง
สตีเฟน ไพเฟอร์ ระบุว่า เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน รัสเซียไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญ ขณะที่สหรัฐมีทีท่าที่จะเข้าโจมตีซีเรีย ซึ่งอาจทำให้รัสเซียดูไร้สมรรถภาพหากไม่สามารถปกป้องประเทศที่เป็นพันธมิตรกันมาอย่างยาวนานได้
สตีเฟน ไพเฟอร์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ความพยายามด้านการทูตของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ผลักดันให้รัสเซียยืนอยู่ ณ จุดสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องบวกของรัสเซียที่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญระดับโลก
ขณะเดียวกัน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา รัสเซียออกมาแสดงความไม่พอใจรายงานการใช้อาวุธเคมีในซีเรียของยูเอ็น โดยอ้างว่ารายงานดังกล่าวไม่ยุติธรรม แม้รายงานจะไม่ได้กล่าวโทษฝ่ายใดเลยก็ตาม
การวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างที่ยูเอ็นกำลังพยายามร่างกำหนดข้อตกลงเพื่อยุติปัญหา ซึ่งอาจทำให้ซีเรียไม่มีคลังอาวุธเคมีอีกต่อไป
แมทธิว รัสลิง จากสำนักข่าวซินหัวรายงาน