ประธานาธิบดีจอจิโอ นโปลาติโน และนายกรัฐมนตรีเอ็นริโก เลตตา กำลังหาทางออกที่เป็นไปได้ให้กับวิกฤตที่เป็นผลมาจากการตัดสินใจที่ทำให้ทั้งประเทศต้องตกตะลึง
มาสซิโม่ จิอันนีนี่ รองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ลา เรพลุบบลิก้า กล่าวซินหัวว่า “เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าเสถียรภาพก็เหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์ในอิตาลี ทุกคนอยากครอบครอง แต่ไม่มีใครใส่มันไว้ในวาระสำคัญลำดับแรก"
เขาเสริมว่า “ชะตากรรมของอิตาลีสอดคล้องกับชะตาด้านกฎหมายและความยุติธรรมของนายซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี
ในคืนวันเสาร์ อดีตนายกรัฐมนตรีแบร์ลุสโคนีกระตุ้นให้รัฐมนตรีทั้งหมดในพรรค People of Freedom Party (PDL) ลาออกจากตำแหน่ง ท่าทีนี้ถูกบรรยายโดยนายกรัฐมนตรีเลตตาว่าเป็นสิ่งที่ “ไร้สาระและไร้ความรับผิดชอบ" การลาออกครั้งนี้ส่งผลให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพในรัฐบาลผสม
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นในคืนก่อนวันครบรอบอายุ 77 ปีของนายแบร์ลุสโคนี ผู้สังเกตการณ์และนักวิเคราะห์หลายคนประหลาดใจ แม้ว่าการข่มขู่นี้จะเกิดขึ้นมาโดยตลอดในช่วงฤดูร้อนก็ตาม
หนังสือพิมพ์หลักๆได้ให้ความเห็นอย่างรุนแรงว่า “การตัดสินใจของแบร์ลุสโคนีและรัฐมนตรีเป็นสิ่งไม่ยั้งคิด สิ้นหวัง และไม่เกิดผล ราคาของการกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ประเทศ ภาคธุรกิจ และครอบครัวอิตาเลียนต้องจ่าย" เฟรุคซิโอ เด บอร์โทลี บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์คอริแอร์ เดลลา เซอล่า กล่าว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ลำดับสามของยูโรโซนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนมาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่าความตึงเครียดทางการเมืองในคณะรัฐบาลผสมแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจอิตาลี ท่ามกลางเส้นตายฉุกเฉินของประเทศในเรื่องกฎหมายงบประมาณปี 2557 ที่ต้องนำเสนอต่อสหภาพยุโรป (EU) ในช่วงกลางเดือนตุลาคม
“ความวุ่นวายทางการเมืองนี้ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข จะส่งผลต่อเศรษฐกิจ" จิอันนีนี่ยืนยัน “อิตาลีจะไม่สามารถทำตามพันธสัญญานานาชาติได้ ถ้าอิตาลีไม่ลดการขาดดุลงบประมาณลงมาให้ต่ำกว่าขีดจำกัดที่ 3% จากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ตามที่อียูเรียกร้อง อิตาลีจะเข้าสู่กระบวนการฝ่าฝืนกฎของอียูที่อยู่ภายใต้การจับตาดูของทรอยก้า ซึ่งถือเป็นความขายหน้าครั้งใหญ่ "
นักวิเคราะห์บอกซินหัวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การปฏิรูปเหล่านี้จะต้องดำเนินการภายใต้แรงกดดันจากนานาชาติ ซึ่งอิตาลีไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง และคงไม่สำเร็จโดยไม่ต้องสูญเสีย
อิตาลีต้องทำการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อ เช่น อัตราการว่างงานของเยาวชน 40% หนี้สาธารณะประมาณ 2 ล้านล้านยูโร เศรษฐกิจตกต่ำเป็นเวลา 2 ปี และเป็นประเทศที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำที่สุดในยุโรป
การลาออกของรัฐมนตรีในสังกัดของแบร์ลุสโคนี ซึ่งจุดชนวนวิกฤตขึ้น ถูกมองว่าเป็นขั้นตอนคัดค้านการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เป็นมาตรการที่รัฐสัญญาว่าจะยกเลิก แต่จากนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ (และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม)
ความตึงเครียดท่ามกลางสองขั้วการเมืองหลักคือ พรรค PDL และ พรรคกลาง-ซ้ายปะทุขึ้นมาหลายสัปดาห์ หลังศาลสูงอิตาลีพิพากษาจำคุกนายแบร์ลุสโคนีกรณีฉ้อโกงภาษี
ในวันที่ 4 ตุลาคม คณะกรรมาธิการวุฒิสภามีกำหนดตัดสินว่าแบร์ลุสโคนีจะถูกไล่ออกจากสภาสูง เนื่องจากคำพิพากษาดังกล่าวหรือไม่ และวุฒิสภาจะลงคะแนนโหวตเรื่องนี้ในเวลาต่อไป
การคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นเป็นสิ่งที่ยากในขณะนี้ หลังการประชุมกับเลตตาในวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีนโปลิตาโนจะตัดสินใจว่ายังมีโอกาสสำหรับรัฐบาลต่อไปหรือไม่ หรือว่าจำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่
นายนโปลาติโนบอกใบ้ว่า เขาอาจใช้ทางแก้นี้เป็นหนทางสุดท้าย
“ผมจะจัดการเลือกตั้ง หากไม่มีทางเลือกอื่น" เขาประกาศก่อนการประชุมกับเลตตา
จากการแทรกแซงทางโทรศัพท์ในการประชุมทางการเมืองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แบร์ลุสโคนีพูดอย่างท้าทายว่า “ผมไม่เหนื่อยกับการต่อสู้ ทางเดียวที่จะเดินต่อไปได้คือการเลือกตั้งใหม่ให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้ และผลสำรวจความเห็นทั้งหมดชี้ว่าเราจะชนะ"
ตามรัฐธรรมนูญและธรรมเนียมทางการเมืองของอิตาลี ในสถานการณ์ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ประธานาธิบดีของประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญ
“ผมคาดว่าประธานาธิบดีนโปลิตาโนจะมอบแผนการหลังการประชุมกับนายกฯ เพื่อชี้ว่าขั้นตอนใดจำเป็นและเป็นไปได้สำหรับเรื่องแนวทางแก้ไข" จิอันนีนี่ นักวิเคราะห์บอกซินหัว และเตือนว่านี่อาจเป็น “วิกฤตในความมืด" ที่อันตราย
“คณะรัฐมนตรีอีกชุดที่มีเสียงข้างมากแตกต่างกันนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้" จิอันนีนี่เสริม “แต่เรากำลังผ่านเข้าไปในทางเดินที่แคบมาก และเราเสี่ยงที่จะจบลงด้วยกระดูกที่แตกหัก"
โดย อเลสซานดรา คาร์โดน จากสำนักข่าวซินหัวรายงาน