บรรดาผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าปัญหาเพดานหนี้จะมีความรุนแรงและสร้างความขัดแย้งมากกว่าการปิดหน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐ หรือที่เรียกว่า “ชัตดาวน์" ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 1 ต.ค.และคาดกันว่าจะต่อเนื่องไปเป็นเวลา 1 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการชัตดาวน์
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดก็คือการไม่มีการจ่ายเงินค่าจ้างสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่ไม่มีหน้าที่จำเป็น ต้องถูกพักงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประเทศและฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เจพี มอร์แกนเปิดเผยในรายงานฉบับหนึ่งว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางราว 710,000 คนกำลังถูกพักงาน และนี่หมายถึงการลดลงของการจ่ายเงินค่าจ้างของรัฐบาลกลางราว 260 ล้านดอลลาร์ต่อวันของการชัตดาวน์ หรือ 1.3 พันล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์
เจพี มอร์แกนประเมินว่าการชัตดาวน์เป็นเวลา 1 สัปดาห์จะทำให้อัตราการขยายตัวรายไตรมาสของจีดีพีที่แท้จริงลดลง 0.12% และอาจจะมีผลกระทบมากขึ้นต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะระบุตัวเลขที่ชัดเจน
นายลอว์เรนซ์ ไวท์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวกับซินหัวว่า ประชาชนที่กำลังวางแผนจะเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติในช่วงที่มีการชัตดาวน์ จะต้องผิดหวัง เนื่องจากอุทยานแห่งชาติต่างๆปิดให้บริการ ดังนั้น การท่องเที่ยวในสหรัฐจะได้รับผลกระทบในเชิงลบอย่างแน่นอน
นายไวท์กล่าวเสริมว่า ผลกระทบในทางอ้อมก็คือประชาชนจะมองว่าสหรัฐไม่มีรัฐบาลที่สามารถเชื่อถือได้ และยิ่งทำให้รัฐบาลสหรัฐเผชิญกับความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น
การชัตดาวน์จะยืดเยื้อไปอย่างน้อย 1 สัปดาห์
ผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปเชื่อว่าการชัตดาวน์ไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลายได้ใน 1 สัปดาห์ เนื่องจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างก็ดูเหมือนจะยืนกรานถึงท่าทีของแต่ละพรรค
นายเคน โกลด์สไตน์ นักเศรษฐศาสตร์จากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับซินหัวว่า “ภาวการณ์นี้อาจจะยืดเยื้อไป 3 หรือ 4 สัปดาห์" ขณะที่มีประชาชนเพียงไม่กี่คนที่คิดว่าการชัตดาวน์จะเกิดขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์
เหตุการณ์ชัตดาวน์ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีที่รัฐบาลสหรัฐต้องปิดหน่วยงานราชการ แต่ประชาชนบางส่วนคิดว่าจะเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการชัตดาวน์ของรัฐบาลจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เลื่อนระยะเวลาการตัดสินใจชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ออกไป
นายโกลด์สไตน์กล่าวว่า หากการชัตดาวน์ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งอาจจะต่อเนื่องไปถึงปลายเดือนต.ค. โอกาสที่จะมีการชะลอมาตรการ QE ในเดือนต.ค.ก็แทบจะเป็น 0%
ยูบีเอสระบุว่า ถ้าไม่มีแนวโน้มที่จะชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเดือนต.ค. ก็คาดว่าเฟดจะลดขนาด QE ภายในเดือนม.ค.ปีหน้า
เพดานหนี้: ผลกระทบที่ยากจะประเมิน
แม้ว่าทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันจะสามารถปล่อยให้รัฐบาลมีการชัตดาวน์ได้ แต่ทั้งสองพรรคจะไม่เพิกเฉยกับประเด็นเพดานหนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากผลกระทบจะรุนแรงกว่ามาก
นายจาค็อบ ลิว รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า ในขณะนี้เขาได้ใช้มาตรการพิเศษทั้งหมดแล้ว เพื่อเลี่ยงไม่ให้ระดับหนี้สินชนเพดานในวันที่ 17 ต.ค.
“หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น รัฐบาลจะไม่สามารถชำระหนี้ได้" นายไวท์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กกล่าว “เราไม่เคยเผชิญสถานการณ์นี้ และเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงเป็นเรื่องยากที่จะทราบถึงผลกระทบ"
นายไวท์กล่าวว่า หากรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถชำระหนี้ หรืออย่างน้อยที่สุด ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตรงเวลา บรรดานักลงทุนก็จะไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะยังต้องการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อไปหรือไม่ ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายอย่างแท้จริง
เขากล่าวเสริมว่า ประชาชนชาวอเมริกันจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ หากหน่วยงานรัฐบาลกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง แต่สถานการณ์จะแตกต่างออกไป หากรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถชำระหนี้ได้
อย่างไรก็ตาม นายไวท์คิดว่าจะมีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับเพดานหนี้ แต่ก็ไม่มีใครรู้จนกว่าจะถึงช่วงนาทีสุดท้าย
นายโกลด์สไตน์ นักเศรษฐศาสตร์จากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด คาดว่าการชัตดาวน์ของรัฐบาล ผนวกกับการที่รัฐบาลไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้ อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐต้องเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเร็วในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557
ฟิทช์ เรทติ้งส์ เปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐครั้งแรกในรอบ 17 ปี จะไม่ส่งผลให้มีการพิจารณาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงจากระดับ AAA แต่อย่างใด แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะบั่นทอนความเชื่อมั่นด้านกระบวนการจัดสรรงบประมาณของประเทศและแนวโน้มการเพิ่มเพดานหนี้ให้ทันกำหนดเวลาเพื่อเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ระบุว่าจะมีการพิจารณาทบทวนปัจจัยลบที่อาจจะมีขึ้นต่ออันดับเครดิตของสหรัฐ หากไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้ทันเวลา