โครงการโอบามาแคร์เผชิญปัญหาอย่างมากนับตั้งแต่เริ่มเปิดตัวเว็บไซต์ healthcare.gov เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งผู้ซื้อที่มีศักยภาพจะสามารถเลือกแผนดูแลสุขภาพได้อย่างหลากหลาย แต่ผู้ซื้อก็ยังต้องเผชิญกับข้อผิดพลาดทางเทคนิคอยู่
ผลสำรวจของแอสโซซิเอทเต็ด เพรส-จีเอฟเค ระบุว่า อันที่จริงแล้ว เว็บไซต์ที่ระบบการให้บริการย่ำแย่ดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ประชาชนเกือบครึ่งที่มีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองด้านการดูแลสุขภาพจากผู้จ้างมองว่า แผนประกันสุขภาพของตนเองจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่แย่ในช่วงปีหน้า และผู้ตอบแบบสำรวจ 77% กล่าวว่าโครงการดูแลสุขภาพของโอบามาครั้งนี้ต้องมีการปรับปรุงใหม่
ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 70% ระบุว่า โครงการโอบามาแคร์ทำให้เบี้ยประกันภัยของตนเองจะเพิ่มขึ้น และเกือบ 60% ระบุว่า โครงการโอบามาแคร์ทำให้อัตราหักภาษี และการร่วมจ่ายเพิ่มสูงขึ้น
ดาร์เรลล์ เวสต์ นักวิจัยอาวุโสในสถาบันบรูกิงส์ อินสติทิวชั่นให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า "พรรคเดโมแครตควรจะกังวลเกี่ยวกับการดำเนินการด้านการดูแลรักษาสุขภาพ เป็นเรื่องยากที่จะให้ประชาชนใช้ประกันสุขภาพ และบางคนก็มีเบื้ยประกันภัยเพิ่มขึ้น"
นักวิจัยรายนี้ กล่าวว่า "ปัญหาเหล่านี้เปิดโอกาสให้แก่พรรครีพับลิกันที่จะแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับกฏหมาย และโต้แย้งว่ารัฐบาลชุดนี้ขาดความสามารถในการบริหารงาน"
ดาร์เรลล์ เวสต์ ระบุว่า พรรคเดโมแครตเฝ้าระวังเกี่ยวกับการนำกฏหมายมาใช้ และแจกแจงการตอบโต้จากพรรคริพับลิกัน หากปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่กับเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางสมัยในปี 2557
หลังจากที่มีการยกเลิกประกันภัยประมาณ 5 ล้านรายการ อันเป็นเหตุมาจากกฏหมายดูแลสุขภาพฉบับใหม่นี้ ส่งให้ประชาชนไม่พอใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากได้มีการกำหนดรูปแบบประกันสุขภาพที่ประกันภัยที่มีอยู่เดิมอาจจะไม่ต้องอยู่ภายใต้หรือดำเนินการตามระบบใหม่นี้ เพื่อครอบคลุมนโยบายอื่นๆอีกมากมาย
สำนักงบประมาณของสภาคองเกรส (CBO) คาดการณ์ว่า เมื่อกฏหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ในปี 2561 ประชาชน 7 ล้านคนจะได้รับขอบเขตความคุ้มครองจากนายจ้างลดลง และขอบเขตความคุ้มครองตามโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น 11 ล้านคน
บรรดานักวิจารณ์ระบุว่า ในขณะที่รัฐบาลโอบามาคาดการณ์ว่าจะมีลูกค้ารายใหม่ 1.2 ล้านคนเข้ารับประกันภัยผ่านเว็บไซต์เจ้าปัญหาภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้มีประชาชนร่วมลงชื่อขอรับประกันภัยเพียงแค่ 365,000 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ นักวิจารณ์ยังกล่าวอีกว่า เว็บไซต์ดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายจนถึงขณะนี้ทั้งสิ้น 677 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เว็บไซต์นี้ควรจะใช้เงินทุนเพียงแค่ 5-10 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
สำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐ ระบุว่า ในปี 2555 ก่อนการบังคับใช้กฏหมายโอบามาแคร์ ชาวอเมริกัน 64% ได้รับสิทธิ์ความคุ้มครองด้านประกันภัยอยู่แล้ว ขณะที่ประชาชน 55% ได้รับความคุ้มครองจากนายจ้าง และ 33% ได้รับความคุ้มครองภายใต้โครงการประกันสุขภาพของรัฐบาล และมีประชาชนอเมริกันประมาณ 10% ที่ซื้อประกันภัยเอง
แมทธิว รัสลิง จากสำนักข่าวซินหัวรายงาน