ไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกเตรียมเปิดฉากการประชุมภาคฤดูใบไม้ร่วงประจำปีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเผชิญอุปสรรคอันหนักหน่วง รวมทั้งกระแสความกังวลว่าจะเศรษฐกิจสามารถรักษาการเติบโตต่อไปได้หรือไม่ สำหรับการประชุมดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงสู่ระดับ 3.3% จาก 3.4% ที่ประเมินในเดือนก.ค.
ส่วนคาดการณ์ของไอเอ็มเอฟสำหรับปีหน้าปรับลดจากคราวก่อนซึ่งอยู่ที่ 4% สู่ระดับ 3.8% สะท้อนว่าการฟื้นตัวยังขาดพลังอย่างมากและก่อกระแสความกังวลว่าการเติบโตที่เชื่องช้าจะเป็นการตั้งมาตรฐานใหม่
นอกจากนี้ ความแตกต่างกันด้านการเติบโตยังขยายวงกว้างขึ้น โดยเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่เอเชียและยุโรปชะลอตัวลง นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า ส่วนต่างการเติบโตจะเป็นวาระสำคัญสูงสุดในการประชุมสัปดาห์นี้
"แนวโน้มของสหรัฐที่แข็งแกร่งขึ้นถูกกลบด้วยสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลงในยูโรโซน ซึ่งพลิกมุมมองเชิงบวกที่เกิดก่อนหน้า" บาร์รี บอสเวิร์ธสมาชิกอาวุโสของสถาบันบรูคคิงส์ เปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัว
นายเดสมอน แลชแมน สมาชิกสถาบันสถานประกอบการสหรัฐกล่าวว่า ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ แต่สิ่งที่มีนัยสำคัญมากกว่าก็คือ ไอเอ็มเอฟได้ย้ำถึงความเสี่ยงช่วงขาลงจำนวนมากต่อคาดการณ์ของตน ซึ่งเกิดจากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศในยูเครนและตะวันออกกลาง
วิกฤตยูเครนกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มหัวรุนแรงรัฐอิสลาม (IS) กำลังรุกคืบหลังจากที่ยึดพื้นที่อาณาบริเวณกว้างขวางในอิรักและซีเรียที่อยู่ติดกัน ซึ่งเป็นความคืบหน้าที่ขัดเสถียรภาพในภูมิภาคและจุดฉนวนให้สหรัฐดำเนินมาตรการโจมตีด้วยระเบิดเพื่อปราบกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้
ในส่วนของจีนนั้น ไอเอ็มเอมเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์วานนี้ว่า เศรษฐกิจของมังกรใหญ่แห่งเอเชีย คาดว่าจะขยายตัวลดลงสู่ระดับ 7.2% ในปี 2558 จากระดับ 7.4% ของปีนี้ และ 7.7% ของปี 2556 ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอตัวลงในปีนี้ อย่างไรก็ดี ตัวเลขการเติบโตยังอยู่ในระดับที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาเทียบกับประเทศอื่นๆที่ขยายตัวอย่างซบเซา
อินเดีย: อีกหนึ่งแสงความหวังของเอเชีย
"แนวโน้มของอินเดียสดใสเมื่อมีรัฐบาลโมดีชุดใหม่" แลชแมนกล่าวกับซินหัว โดยหยิบยกการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของนายกรัฐมนตรีนาเรนดรา โมดีของอินเดีย ซึ่งเป็นนักปฏิรูปหัวธุรกิจ ซึ่งเหล่าผู้สนับสนุนหวังว่าเขานำมาซึ่งการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอินเดีย
สวนทางกับญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.9% ในปีนี้ ลดลงจากคาดการณ์ในเดือนก.ค.ซึ่งอยู่ที่ 1.6% ถึงแม้ว่าโครงการเข้าซื้อพันธบัตรจะช่วยอัดฉีดสิ่งที่จำเป็นอย่างมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่การขึ้นภาษีการขาย 3% ในเดือนเม.ย.เป็นอุปสรรคต่อการจับจ่ายของผู้บริโภคยิ่งกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์เอาไว้
สถาบันบอสเวิร์ธ ออฟ เดอะ บรูคกิงส์ระบุว่า เอเชียกำลองปรับเข้าหาโลก ในขณะที่จะพึ่งพาความแข็งแกร่งในชาติมหาอำนาจอย่างเดียวก็ไม่ได้ "เอเชียจะขยายตัวแต่ในอัตราไม่สูง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นภูมิภาคที่ที่ทำผลงานดีที่สุด" เขากล่าว
ทางด้านของสหรัฐ แม้ว่าตลาดหุ้นจะพุ่งทยาน ผลกำไรเอกชนจะอยู่ในระดับสูงมาหลายปี แต่ชาวอเมริกันจำนวนมากโอดครวญว่าการพุ่งขึ้นที่จุดสูงสุดไม่ได้ส่งผลอะไรต่อชนชั้นกลาง เนื่องจากประชาชนนับล้านยังว่างงาน ถึงแม้อัตราว่างงานล่าสุดจะปรับตัวลง
อัตราว่างงานของเดือนนี้ร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีที่ 5.9% แต่นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขลวง เนื่องจากหลายล้านคนหยุดหางานด้วยความผิดหวังอย่างหนัก
เนื่องจากอัตราว่างงานพิจารณาจากจำนวนผู้หางานอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ตัวเลขที่บอกข้อมูลจริงได้มากกว่าคืออัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดสัดส่วนประชากรที่มีงานทำ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำที่เคยเห็นครั้งหลังสุดในปี 2521
สำหรับผู้ว่างงานเกินกว่า 6 เดือน หรือที่เรียกว่าผู้ว่างงานในระยะยาวนั้น มีหนทางหางานที่ยากลำบาก เนื่องจากนายจ้างมีแนวโน้มมองข้ามผู้สมัครที่ไม่ได้ทำงานมานาน
ขณะที่หลายฝ่ายแสดงความเห็นว่า ปัจจัยประกอบกันนี้ไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง "ผมคิดว่ามัน(การขยายตัว) จะไม่เกิน 3% เมื่อเทียบเป็นรายปี" บอสเวิร์ธกล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน