ภายหลังการหารือเป็นเวลา 2 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในกรุงวอชิงตัน เจ้าหน้าด้านการเงินจากประเทศกลุ่ม G20 เรียกร้องให้มีการดำเนินการเชิงรุกยิ่งขึ้น เพื่อยุติปัญหาการขยายตัวที่อยู่ต่ำกว่าระดับปกติทั่วโลก โดยระบุว่ายูโรโซนเป็นพื้นที่ที่น่าวิตกกังวลมากที่สุด
แม้กระทั่งในเอเชีย ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ล้วนบ่งชี้ว่าปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวดูเหมือนจะอ่อนแรงลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
สถาบันวิจัย Deutsche Bank Research ระบุว่า จีนยังคงอยู่ช่วงภาวะอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ ความหวังถึงช่วงขาขึ้นนั้นมีเพียงน้อยนิด ซึ่งสังเกตเห็นได้จากสัญญาณของยอดส่งออกที่ปรับตัวขึ้น ทั้งที่การส่งออกมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาระดับการขยายตัวให้ต่อเนื่อง
ส่วนอินเดียเองก็กำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวปานกลาง โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคและทางธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การผลิตและยอดขายรถก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน แต่การขยายตัวของสินเชื่อธนาคารที่อ่อนแรงและการจัดเก็บภาษี รวมถึงการค้าขายที่ซบเซา ตอกย้ำให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่ขาดปัจจัยกระตุ้น
ทั้งนี้ ความเสี่ยงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซีย ส่อให้เห็นถึงมุมมองที่เป็นลบต่อการหมุนเวียนของเงินทุน อัตราดอกเบี้ย และเงินรูเปียร์ ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้เองดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะอุปสงค์ภายนอกที่ไม่แน่นอน ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศก็อ่อนแอ ส่วนประเทศไทยเองก็กำลังดิ้นรนเพื่อหาทางออกจากภาวะอ่อนแอทางเศรษฐกิจและการเมือง
เมื่อหันมามองด้านที่สดใสในเอเชีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์คือประเทศที่แข็งแกร่งในเอเชียระยะนี้ โดยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของมาเลเซียปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ทรงตัว และยอดขาดดุลงบประมาณลดลง ด้านฟิลิปปินส์นั้น การบริโภคและการลงทุนที่แข็งแกร่งยังคงหนุนการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่เอเชียดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในช่วงขาลง แต่หลายอย่างก็ไม่ได้สดใสเมื่อมีการพิจารณาอย่างใกล้ชิด โดย HSBC สถาบันการเงินระดับโลกเปิดเผยว่า เงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่อยู่ในช่วงระมัดระวัง ล้วนเป็นปัจจัยที่กำลังบั่นทอนการกระตุ้นเศรษฐกิจของเอเชีย
ความท้าทายที่ซ่อนเร้นและเป็นความท้าทายที่ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญ คือ ภาวะการชะลอตัวในเอเชีย ที่ไม่ได้ผันผวนไปตามช่วงเวลาแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การที่ประเทศแถบเอเชียจะเดินไปสู่เส้นทางการขยายตัวอันยั่งยืนยิ่งขึ้นนั้น ประเทศในเอเชียแต่ละประเทศจำเป็นต้องเพิ่มการปฏิรูป แทนที่จะมาหวังพึ่งมาตรการกระตุ้นเพื่อขับเคลื่อนการขยายตัว
ในขณะที่การฟื้นตัวของอุปสงค์ในชาติตะวันตกอย่างเต็มที่นั้นมีเพียงพอที่จะดึงเอเชียออกจากความอ่อนแอนั้น ยังคงเป็นความคาดหวังอันห่างไกล สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ สถาบันวิจัยระดับโลกชี้ว่า การฟื้นการขยายตัวในเอเชีย จึงขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะดำเนินการปฏิรูปเชิงลึกอย่างไร เช่น การลดเงินอุดหนุน การลงทุนกับคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น การกระตุ้นการศึกษา การเปิดรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในระยะต่อไป และสิ่งที่สำคัญที่สุดอาจเป็นการเพิ่มการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในตลาดท้องถิ่น
ในกรณีของจีนนั้น สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ระบุว่า การขยายตัวรูปแบบเดิมๆ ซึ่งพึ่งพาการลงทุนและการส่งออก ไม่มีแนวโน้มว่าจะผลักดันจีนไปสู่การพัฒนาขั้นต่อไป จากการเป็นประเทศรายได้ขั้นกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงได้
การบริโภคควรจะมีความสำคัญมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุน และภาคบริการก็ควรจะมีบทบาที่สำคัญด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับภาคการก่อสร้างและภาคการผลิต สำนักข่าวซินหัวรายงาน