ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาได้หนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่าการผ่อนคลายทางการเงินกำลังใกล้จะสิ้นสุดลง
ตลาดสินทรัพย์ในหลายประเทศของเอเชียในขณะนี้ กำลังมีความวิตกเพิ่มมากขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายของเฟด
แม้ว่ามีสภาพคล่องจำนวนมากและต้นทุนการกู้ยืมอยู่ที่ระดับต่ำ แต่แนวโน้มการบริโภคและการลงทุนในภูมิภาคยังคงอ่อนแอจนถึงขณะนี้ ภาวะอ่อนแรงทางเศรษฐกิจบางส่วนเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ อันเนื่องมาจากการร่วงลงอย่างหนักของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ประเทศเอเชียส่วนใหญ่ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ รถยนต์และวัตถุดิบด้านการผลิต ก็เผชิญกับอุปสงค์ที่ซบเซาต่อเนื่อง
เมื่อพิจารณาข้อมูลการส่งออกของประเทศในเอเชียในเดือนม.ค.-มี.ค. แทบไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว โดยการส่งออกได้ฉุดการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2
Deutsche Bank Research ระบุว่า แม้ว่าอุปสงค์ในสหรัฐและสหภาพยุโรปปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ก็อาจจะส่งผลต่อการส่งออกของภูมิภาคเอเชียไม่มากนัก เนื่องจาก Deutsche Bank เชื่อว่าการอ่อนแอด้านการส่งออกอาจจะเป็นผลมาจากการขาดอำนาจในการกำหนดราคาของกลุ่มผู้ส่งออกเอเชีย ซึ่งจะเห็นได้จากเงินเฟ้อที่อ่อนแรง
Nomura Equity Research เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ส่งออกของเอเชียมีการพึ่งพาอุปสงค์ในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น ซึ่งรวมถึงจีน และอุปสงค์ของตลาดเกิดใหม่โดยรวมอยู่ในภาวะอ่อนแอ
HSBC Global Research อธิบายว่า การขยายตัวทั่วภูมิภาคเอเชียนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 ส่วนใหญ่ได้รับการผลักดันจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สิน
HSBC ชี้ว่าภาระหนี้สินที่ระดับสูงได้ก่อให้เกิดปัญหา 3 ประการสำหรับเศรษฐกิจเอเชีย ประการแรกคือ สัดส่วนหนี้สินต่อจีดีพีไม่สามารถเพิ่มขึ้นตลอดไป, ประการที่สอง เมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การขยายตัวและเสถียรภาพทางการเงินอาจจะได้รับผลกระทบ ส่วนประการที่สามและมีความสำคัญที่สุด ก็คือ ระดับสินเชื่อเพื่อหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชียยังคงเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าการที่จะคงอัตราการขยายตัวของช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเอาไว้นั้น จะต้องมีการปล่อยสินเชื่อในอัตราที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
HSBC เรียกร้องให้ประเทศในเอเชียดำเนินการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อหนุนการขยายตัวของศักยภาพการผลิตและลดการพึ่งพาหนี้
หากประเทศเกิดใหม่ในเอเชียไม่ดำเนินการปฏิรูป หนี้สินก็จะยังคงมีความสำคัญมากขึ้นในการหนุนอุปสงค์ และนี่ไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืนในการปรับปรุงการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต