ทั้งนี้ การศึกษาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าของเขตการค้าเสรีที่ครอบคลุมทุกประเทศในกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ซึ่งได้รับความเห็นชอบในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลงเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิก (FTAAP) ในที่ประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกปี 2557 ที่กรุงปักกิ่งของจีนนั้น กำลังอยู่ระหว่างการประเมินในขณะนี้ โดยมีกำหนดที่จะเสร็จสิ้นในปีหน้า
เขตการค้าเสรี FTAAP จะประกอบไปด้วยสมาชิกเอเปก 21 ประเทศ ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของโลก ข้อตกลงดังกล่าวน่าจะการดำเนินการไม่เกินปี 2568 หากประเทศสมาชิกบรรลุข้อตกลง ซึ่งเป็นระยะเวลาไม่ถึง 20 ปีหลังจากมีข้อเสนอครั้งแรก
ศาสตราจารย์ฟาริบอร์ซ โมชิเรียน ผู้อำนวยการสถาบันการเงินสากล แห่งมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์กล่าวว่า การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของสมาชิกเอเปกภายใต้ FTAAP นี้ จะส่งผลดีต่อการค้าได้มากกว่าข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ที่สหรัฐเป็นแกนนำ แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกทุกประเทศร่วมมือกัน
การสร้างแบบจำลองเศรษฐกิจในปี 2557 แสดงให้เห็นว่า รายได้ที่ทั่วโลกได้รับจาก FTAAP จะสูงกว่าที่ได้รับจาก TPP เกิน 8 เท่า
"นี่เป็นสาเหตุหลักๆที่จีนเข้าร่วม (TPP ) ในตอนแรก แต่ถอนตัวในภายหลัง" เจมส์ ลอเรนซ์สัน รองผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์จีน-ออสเตรเลียกล่าว
ศาสตราจารย์โมชิเรียนระบุว่า ตามหลักการแล้ว การเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงระดับภูมิภาคอย่าง FTAAP ที่มีการเสนอกันนี้ จะต้องผ่านกระบวนการขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจะตัดสินโดยประเมินเศรษฐกิจเป็นหลัก
"นั่นถือเป็นเรื่องสำคัญ" โมชิเรียนระบุ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่การเจรจาการค้ารอบโดฮาของ WTO คว้าน้ำเหลวและหยุดชะงักไปเนื่องจากไม่สามารถหาข้อสรุปให้ประเด็นที่มีความซับซ้อน ในขณะนี้ หลายๆชาติกำลังจัดตั้งกลุ่มการค้าระดับภูมิภาคขึ้นมา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องทางการเมือง
"นี่เป็นธรรมชาติของธุรกิจ" โมชิเรียนกล่าว โดยระบุว่า WTO ที่มีประสิทธิภาพจะสามารถรวมชาติต่างๆเข้าไว้ด้วยกันได้
ขณะที่อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่สมาชิกเขตการค้าเสรีจะเผชิญก็คือ การต่อสู้กันระหว่างความเป็นชาตินิยมและโลกาภิวัตน์ ซึ่งนำไปสู่การกีดกันทางการค้าขนานใหญ่ ซึ่งเห็นได้ในระดับประเทศ หรือเป็นข้อตกลงทวิภาคี
"โซลูชั่นนี้จะต้องเป็นการรวมกลุ่มกันในระดับภูมิภาคมากมากขึ้น เหมือนที่เราเห็นในยุโรป" โมชิเรียนระบุ
"การค้าเสรีในกรณีที่ไม่มีการรวมกลุ่มกันของประเทศต่างๆ ก็เหมือนการสร้างชาตินิยม นี่เองเป็นสาเหตุว่าทำไมคุณจึงเห็นว่าทุกประเทศจะมีภาคอุตสาหกรรมบางส่วนที่มีความอ่อนไหวเกินกว่าที่ปล่อยให้เกี่ยวข้องกับการเมือง"
สำหรับข้อตกลง TPP เมื่อเร็วๆนี้ ที่มีสหรัฐเป็นแกนนำนั้น เป็นการสร้างกลุ่มการค้าของ 12 ประเทศทั่วทั้งภูมิภาคแปซิฟิก อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวถูกโจมตีว่าเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองของสหรัฐและขัดกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคแปซิฟิกในวงกว้าง
ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆ การขจัดกำแพงการค้าย่อมต้องมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ แต่ประเด็นสำคัญในการบรรลุความสำเร็จคือ การมีกลไกที่เหมาะสมสำหรับการชดเชยในระยะใกล้
เมื่อมีการยกเลิกภาษีและกำแพงการค้าในการจัดตั้งยูโรโซนนั้น สมาชิกยูโรโซนต้องชดเชยให้แก่ผู้ที่เสียประโยชน์ในกระบวนการดังกล่าว
"การชดเชยนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนควรต้องจ่าย แต่ทุกประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการ ควรจะสร้างระบบขึ้นมา ซึ่งเป็นระบบที่คุณสามารถจ้างงานคนงานที่ตกงานได้" โมชิเรียนกล่าว
"ถ้าการผลิตเหล็กกล้าของจีนมีประสิทธิภาพกว่าออสเตรเลีย ก็ควรฝึกฝนคนงานในออสเตรเลียให้ทำอย่างอื่น แนวคิดควรจะเป็นแบบนี้"
อย่างไรก็ตาม โมชิเรียนระบุว่า ในแง่การเมืองแล้ว การที่จีนและรัสเซียออกจาก TPP ไม่ได้เป็นสัญญาณที่ดีนัก
สำหรับคำถามที่ว่า FTAAP จัดตั้งขึ้นมาเพื่อตอบโต้ TPP หรือไม่นั้น ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์กล่าวว่า "โชคไม่ดีว่านี่แหละคือการขับเคลื่อนของโลก" พร้อมกับแสดงจุดยืนของตนเองอีกครั้งว่า การหารือทางการค้าที่ดีที่สุดคือเวทีการประชุม อย่างเช่น การประชุม WTO
โมชิเรียนระบุว่า จีนมีบทบาทสำคัญในด้านเสถียรภาพและความต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก
เม็ดเงินจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะออสเตรเลีย ซึ่งประวัติศาสตร์สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศจะไม่สามารถเติบโตได้เลยหากปราศจาคการลงทุนจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่ามักจะมีข้อกังขาอยู่เสมอเกี่ยวกับเงินกองทุนแห่งชาติ
"แต่ผมคิดว่าเราต้องยอมรับว่า ในศตวรรษที่ 21 นี้ กองทุนความมั่นคั่งแห่งชาติจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดทุน" ศาสตราจาร์ยโมชิเรียนกล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน
บทวิเคราะห์โดย แมท เบอร์เกส