เฟดได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2549 นับเป็นการสิ้นสุดของช่วงเวลาแห่งการผ่อนปรนนโยบายการเงินเป็นพิเศษ
ความผันผวนในตลาดหุ้น
ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐต่างคาดการณ์แนวโน้มหุ้นสหรัฐในปีหน้า ดังนี้
ซาวิตา ซูบรามาเนียน หัวหน้าฝ่ายหุ้นสหรัฐและยุทธศาสตร์เชิงปริมาณของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 จะยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีหน้า
โดยคาดว่าดัชนี S&P 500 จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2,200 ภายในช่วงสิ้นปี 2559 และคาดว่าจะเคลื่อนตัวอย่างช้าๆมาอยู่ที่ระดับ 3,500 จุดในช่วงระยะเวลา 10 ปี
"การลงทุนที่อ่อนไหวต่อเรื่องสินเชื่อถือเป็นความเสี่ยงสูงสุดในปี 2559 ดังนั้น ดัชนี S&P อาจถูกมองว่าอาจจะเป็นช่องทางลงทุนที่สามารถรับมือกับภาวะสินเชื่อได้ เนื่องจากเป็นดัชนีหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง" แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ระบุในรายงานแนวโน้มปี 2558 ซึ่งได้มีการเผยแพร่ไปเมื่อต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า ตลาดหุ้นจะเผชิญกับความผันผวนในระดับหนึ่งในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ในขณะที่ตลาดวอลล์สตรีทได้พยายามที่จะซึมซับประเด็นการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
คีท บลิส รองประธานอาวุโสของคัตตัน แอนด์ โค ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า ยกเว้นเสียแต่ว่าบริษัทต่างๆจะทำให้เราตกใจกับตัวเลขรายได้ ตลาดหุ้นก็คงจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ย่ำแย่ในปี 2559
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
บลิสกล่าวเพิ่มเติมว่า เรายังคงอยู่ห่างไกลจากวงจรแห่งผลกำไรในภาคบริษัท ขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงอยู่ในช่วง 2% ท่ามกลางบรรยากาศของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเช่นนี้ เศรษฐกิจโลกก็คงจะซบเซา ส่วนดอลลาร์ก็จะแข็งค่าขึ้นเมื่อนโยบายการเงินในสหรัฐเปลี่ยนแปลงไปจากนโยบายในต่างประเทศ
นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด กล่าวก่อนหน้านี้ว่า นโยบายต่างๆจะยังคงเป็นนโยบายที่ช่วยสนับสนุน และความสำคัญของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกก็ไม่ควรที่จะถูกละเลยไป
ดอลลาร์สหรัฐอาจจะยังคงพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆในช่วง 2-3 เดือนแรกของปี 2559 ภายหลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางในญี่ปุ่นและยุโรปก็คาดว่า จะใช้มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเช่นกัน
ด้านโรเบิร์ต ซาเวจ ซีอีโอของ CCTrack Solutions ซึ่งเป็นบริษัทบริหารจัดการกองทุน กล่าวกับซินหัวว่า ดัชนีดอลลาร์สหรัฐจะปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 และจะอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 2
"ผมคิดว่า ความเสี่ยงที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นในปี 2559 นั้นมีมาก และเงินดอลลาร์เองก็โดดเด่นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักทั้ง 10 สกุล" ซาเวจ กล่าว
แรงกดดันที่มีต่อสินค้าโภคภัณฑ์
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะสร้างแรงกดดันช่วงขาลงให้กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งพลังงาน โลหะ และธัญพืชได้
สตีเฟน กิลฟอยล์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีพ แวลู ให้สัมภาษณ์กับซินหัวว่า สิ่งหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
ราคาน้ำมันถูกถ่วงลงจากภาวะอุปทานล้นทั่วโลก และยังคงเคลื่อนตัวอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี ภายหลังจากที่โอเปคได้ตัดสินใจคงโควต้าการผลิตน้ำมันไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ในขณะที่ตลาดน้ำมันอยู่ในภาวะอุปทานล้นอยู่แล้ว
นักวิเคราะห์จำนวนมากคาดว่า ราคาน้ำมันจะยังไม่ฟื้นตัวขึ้นในเร็วๆนี้ เนื่องจากคงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่จะมีการใช้อุปทานทั้งหมดในตลาดน้ำมัน และกว่าที่ตลาดจะอยู่ในจุดสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์
คริส โลว์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียล กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนในเวลานี้ก็คือสินค้าโภคภัณฑ์ การที่เฟดใช้มาตรการคุมเข้มด้านการเงินก็ถือเป็นข่าวร้าย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาหลังจากนี้ก็ตาม
เมน สตรีท แซงหน้า วอลล์สตรีท นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ คาดว่า เมน สตรีท จะผงาดขึ้นแซงหน้าวอลล์ สตรีท ในขณะที่แนวโน้มยังคงเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำ และการจ้างงานที่สูงขึ้นยังคงเป็นผลดีกับกลุ่มผู้บริโภค
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า หากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น และค่าแรงสูงขึ้นด้วย การใช้จ่ายของผู้บริโภคก็จะได้รับประโยชน์บนพื้นฐานของพฤติกรรมของผู้บริโภคสหรัฐ
แคนเดซ บราวนิ่ง หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า แม้ภาวะการซื้อขายมีแนวโน้มที่จะเป็นไปอย่างคึกคักเนื่องจากตลาดยังมีทิศทางในช่วงขาขึ้น แต่ตลาดก็เริ่มชะลอตัวลง ขณะที่การเติบโตในตลาดทุนก็จะทรงตัว และวงจรธุรกิจก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยส่วนใหญ่มุ่งเน้นในด้านการนวัตกรรม
ทั้งนี้ โอกาสที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนอาจจะเป็นหุ้นเฉพาะกลุ่ม หุ้นของบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลดี และการลงทุนในภาคนวัตกรรมนั้นจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบของพลวัตตลาดในช่วง 10 ปีข้างหน้า สำนักข่าวซินหัวรายงาน