บรรดาผู้เชี่ยวชาญเปิดเผยว่า ทิศทางที่ไม่แน่นอนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนั้น อาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าการเลือกตั้งจะสิ้นสุดลง
หลังจากที่ตลาดแรงงานสหรัฐปรากฎให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ประกอบกับตลาดมีการตอบรับกับผลการลงประชามติของอังกฤษไม่รุนแรงมากนัก เจ้าหน้าที่เฟดจึงมีการหารือเพื่อตัดสินใจว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้หรือไม่
รายงานการประชุมของเฟดประจำวันที่ 26-27 ก.ค. ระบุว่า เจ้าหน้าที่บางรายมองว่าเฟดควรรอดูหลักฐานเพิ่มเติมว่าเงินเฟ้อของสหรัฐจะขยายตัวตามเป้า 2% หรือไม่ ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งมองว่า ภาวะเศรษฐกิจจะรองรับการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่ง
"ผมคิดว่าเฟดมีความพร้อมที่จะดำเนินการอีกครั้ง" ชาร์ลส์ คอลลินส์ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) กล่าวกับสำนักข่าวซินหัว "ผมมองว่าเป็นเรื่องของกรอบเวลาที่เหมาะสม"
เมื่อพิจารณาถึงข้อมูลจ้างงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเดือนก.ค. และข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆของสหรัฐในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เป็นไปได้ที่เฟดจะดำเนินการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ย.นี้
เฟดมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการเติบโตในระดับเหมาะสม แนวโน้มค่าแรงเริ่มส่งสัญญาณที่ดี ภาวะตลาดแรงงานก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ
อย่างไรก็ดี เฟดยังคงมีความระมัดระวังในการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างๆในตลาดโลก รวมถึงผลการลงประชามติของอังกฤษ โดยนายคอลลินส์เสริมว่า เฟดต้องการความมั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง และไม่ต้องการสร้างความผันผวนเพิ่มเติม
แม้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่มองว่า ปัจจัยเสี่ยงระยะสั้นที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐได้ปรับตัวลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่บางรายยังคงมีความวิตกว่า ปัจจัยเสี่ยงในระยะยาวต่อตลาดโลกอันเป็นผลจากการลงประชามติของอังกฤษนั้นยังคงปรากฎให้เห็น
รายงานประชุมเฟด ระบุว่า "เจ้าหน้าที่บางรายมองว่า ผลการลงประชามติของอังกฤษและเหตุการณ์อื่นๆในต่างประเทศ ยังคงก่อให้เกิดความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวของประเทศต่างๆ และยังอาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐด้วย" โดยเฟดจะยังคงจับตาภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลกอย่างใกล้ชิด
โรเบิร์ต คาห์น นักวิชาการอาวุโสสาขาเศรษฐกิจระหว่างประเทศประจำสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่กรุงวอชิงตันดีซี เปิดเผยว่า เฟดอาจชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจโลกค่อนข้างซบเซา อย่างมากก็ขึ้นดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในปีนี้
แม้ว่าเฟดเป็นองค์กรอิสระจากการเมือง แต่ความไม่แน่นอนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเดือนพ.ย.นี้ ก็อาจจะส่งผลให้เฟดชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย
จากการสำรวจของวอลล์สตรีทเจอร์นัล นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ความไม่แน่นอนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนั้นได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐในระดับหนึ่ง หลังการลงทุนภาคธุรกิจในสหรัฐได้ปรับตัวลดลงเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน
นักเศรษฐศาสตร์เปิดเผยว่า ผู้บริโภคและภาคธุรกิจไม่มีความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและลงทุน หากยังคงไม่มีความแน่นอนในเรื่องของภาษี กฎข้อบังคับ และนโยบายอื่นๆ หลังได้รัฐบาลชุดใหม่
นโยบายที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและตลาดเงินสหรัฐ เนื่องจากเขาได้ขู่ว่าจะผลักดันให้สหรัฐถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) กำหนดกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ และเปิดการเจรจาอีกครั้งในเรื่องหนี้สินสหรัฐ
ส่วนนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งเป็นคู่แข่งของนายทรัมป์ อาจจะสานต่อนโยบายปัจจุบันของรัฐบาลชุดเดิม
มูดีส์ อนาไลติกส์ คาดการณ์ในรายงานฉบับล่าสุดว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจต้องเผชิญกับภาวะถดถอยยืดเยื้อ โดยอาจส่งผลให้การจ้างงานลดลงเกือบ 3.5 ล้านตำแหน่ง และอัตราว่างงานพุ่งขึ้นถึง 7% หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และข้อเสนอเศรษฐกิจทั้งหมดมีการใช้จริง
นายคอลลินส์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งในฝ่ายการเงินระหว่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวว่า "เฟดไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง ผมเชื่อว่าเฟดไม่มีความประสงค์ที่จะช่วยผู้ชิงตำแหน่งรายใดรายหนึ่ง"
เขากล่าวว่า "แต่หากเฟดมองว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาด ก็อาจเป็นเหตุให้เฟดชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าการเลือกตั้งจะสิ้นสุดลง"
นักเศรษฐศาสตร์รายนี้กล่าวว่า "ยังคงมีความไม่แน่นอนอื่นๆอีกมากมาย โดยเฟดจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่า การเลือกตั้งจะไม่ทำให้ตลาดผันผวนเกินไป" โดยเขาคาดการณ์ว่า เฟดน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. มากกว่าเดือนก.ย.
เฟดมีกำหนดการประชุมนโยบาย 2 ครั้งก่อนการเลือกตั้งวันที่ 8 พ.ย. โดยการประชุมที่จะมีขึ้นหลังการเลือกตั้งสิ้นสุดลงนั้น ตรงกับวันที่ 13-14 ธ.ค.
จากการสำรวจของวอลล์สตรีทเจอร์นัล นักเศรษฐศาสตร์ 71% จากทั้งหมด 62 รายเชื่อว่า เฟดจะรอจนถึงเดือนธ.ค.เพื่อปรับขึ้นดอกเบี้ย
ทั้งนี้ เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) ขึ้นสู่ระดับ 0.25-0.5% เมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี
บทวิเคราะห์โดย เก๋า ปัน และเจียง หยูจวน นักเขียนประจำสำนักข่าวซินหัว