นักวิเคราะห์มองว่า การที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างแข็งแกร่งนั้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องในเดือนนี้ นอกจากนี้ยังคาดว่า เงินหยวนจะเคลื่อนไหวผันผวนต่อไปในขณะที่ดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก ท่ามกลางกระแสการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.นี้
ทั้งนี้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งระบุว่า กรรมการส่วนใหญ่ได้เห็นพ้องว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในเร็วๆนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม หากข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นไปตามทิศทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายของเฟด
นอกจากปัจจัยของดอลลาร์แล้ว การขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศจีนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อเงินหยวน โดยรายงานของ China Merchants Securities ระบุว่า เงินหยวนอาจเผชิญกับแรงกดดันให้อ่อนค่าลงต่อไปในไตรมาสหน้า ขณะที่คนจีนมีแนวโน้มที่จะซื้อเงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มมากขึ้น ในช่วงสิ้นปีเพื่อนำไปท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า หากเปรียบเฉพาะกับดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมากนั้น เงินหยวนยังค่อนข้างที่จะมีเสถียรภาพ หรืออาจมีแนวโน้มแข็งค่ามากกว่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่นๆ
ทั้งนี้ ดอลลาร์ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งราว 5 % นับตั้งแต่ที่เริ่มแข็งค่าขึ้นในวันที่ 7 พ.ย.เป็นต้นมา ในทางกลับกันเงินหยวนได้อ่อนค่าลงกว่า 2.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่ข้อมูลจาก Wind Data ระบุว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ สกุลเงินยูโรของยูโรโซนและเงินเยนของญี่ปุ่นได้อ่อนค่าลงกว่า 5% และเกือบ 10% ตามลำดับเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นตรงกันว่า การที่จีนมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมหาศาล ประกอบกับมีเครื่องมือด้านนโยบายอยู่มากมายนั้น ไม่น่าจะทำให้เงินหยวนขยับอ่อนค่าลงอย่างไร้ระเบียบ นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังคาดการณ์ด้วยว่า แนวโน้มที่เงินหยวนจะอ่อนค่าลงเช่นนี้ จะไม่เกิดขึ้นในระยะกลางหรือระยะยาว สำนักข่าวซินหัวรายงาน