นายมอริส อ็อบส์ทเฟลด์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ประเทศต่างๆทั่วโลกควรเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน ด้วยการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. และยังส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้า นอกจากนี้ นายอ็อบส์ทเฟลด์ยังเตือนด้วยว่า หลายประเทศจะหันมาใช้นโยบายกีดกันทางการค้าหลังจากอัตราแลกเปลี่ยนตกอยู่ในภาวะผันผวน อันเนื่องมาจากการที่สหรัฐปรับเปลี่ยนโยบายการเงิน
นายอ็อบส์ทเฟลด์ ได้แสดงความเห็นดังกล่าวผ่านบล็อกของ IMF ว่า "ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐถือเป็นจุดเปลี่ยนด้านนโยบายของสหรัฐ ซึ่งคาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อราคาและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างในอนาคต ซึ่งรวมถึงสหรัฐด้วย"
ภายหลังการเลือกตั้ง นักลงทุนต่างจับตาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยในการประชุมเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ได้ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในการประชุมเดือนก.ย.ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง
นายอ็อบส์ทเฟลด์ ระบุว่า หากสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วขึ้น ประกอบกับรัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะนำเสนอแรงจูงใจด้านภาษีเพื่อกระตุ้นผลกำไรของบริษัทสหรัฐที่ไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศนั้น อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ซึ่งการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์จะทำให้ยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐขยายตัวขึ้น
นอกจากนี้ นายอ็อบส์ทเฟลด์ ยังได้เตือนถึงความท้าทายต่างๆที่ทั่วโลกอาจจะเผชิญ โดยเฉพาะกลุ่มตลาดใหม่ที่มีหนี้สินในรูปสกุลเงินดอลลาร์นั้น อาจเผชิญกับภาวะสภาพคล่องปรับตัวลดลง หรืองบดุลที่ย่ำแย่ลง อันเนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยสกุลเงินดอลลาร์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่สกุลเงินภายในประเทศ อ่อนค่าลง
"หากสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว และเกิดภาวะความไม่สมดุลมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก แรงกดดันที่เกิดจากนโยบายกีดกันทางการค้า จะกลายมาเป็นปัจจัยเสี่ยงที่รุนแรงที่สุด " อ็อบส์ทเฟลด์ กล่าวทิ้งท้าย สำนักข่าวซินหัวรายงาน