ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กำลังเดินหน้าทำตามแผนการสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐ-เม็กซิโก เพื่อปิดกั้นการหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญก็ยังคงมีคำถามค้างใจอยู่ว่า กำแพงที่สร้างขึ้นมานั้นจะสามารถลดจำนวนผู้ลักลอบเดินทางเข้าเมืองได้จริงหรือไม่
ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนั้น ทรัมป์ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนเป็นภาระกิจของหลักของเขา โดยเขาได้เน้นย้ำว่าจะสร้างกำแพงขึ้นบริเวณชายแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก เพื่อสกัดกั้นบรรดาผู้หลบหนีเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายที่หลั่งไหลเข้าไปในสหรัฐอเมริกาอยู่ทุกวัน
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันมีผู้อพยพที่ลักลอบเข้ามาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาโดยผิดกฎหมายมากถึงประมาณ 11 ล้านคน อีกทั้งระบบตรวจคนเข้าเมืองของประเทศก็ยังคงมีปัญหา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่แต่ละพรรคหยิบยกขึ้นมาหาเสียงกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทิฟฟานี โฮวาร์ด ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยเนวาดา ลาสเวกัส กล่าวกันสำนักข่าวซินหัวว่า มันยากที่จะคาดเดาผลกระทบของการสร้างกำแพง เนื่องจากความคิดนี้ยังไม่ถูกรับรองให้เป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์ ที่จริงแล้ว เรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผนังของทรัมป์จะเป็นผนังจริงๆ หรืออาจจะเป็นแค่รั้วกั้นชายแดนตลอดระยะทาง 200 ไมล์
ศาสตราจารย์โฮวาร์ด กล่าวว่า “หากมันเป็นกำแพงจริงๆ และมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่บนกำแพงนั้นด้วย อาจช่วยลดจำนวนผู้ที่แอบหลบหนีเข้ามาจากเม็กชิโกได้ แต่ในขณะเดียวกันเราต้องรู้ว่าระหว่างทั้ง 2 ประเทศยังมีอุโมงค์อีกหลายแห่ง ที่คนเหล่านั้นสามารถใช้เป็นเส้นทางเพื่อแอบลักลอบเข้ามาในสหรัฐได้"
ดังนั้น “มันอาจจะช่วยลดจำนวนผู้ลับลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายได้ในระยะหนึ่ง แต่พวกเขาก็มีทางเลือกอื่นที่จะเดินทางเข้ามาในสหรัฐ" ศาสตราจารย์โฮวาร์ดกล่าว โดยระบุว่า กำแพงนี้อาจเป็นสาเหตุให้จำนวนผู้ที่แอบหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่มีเอกสารนั้น ลดลงแค่ในระยะแรกๆ และต่อมาก็จะกลับเข้าสู่ระดับปกติ
ขณะที่นายเฟลโล ดาร์เรลล์ เวสท์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสงจากสถาบันบรูกกิงส์ กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า พรมแดนระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐมีระยะทางหลายพันไมล์ “การสร้างกำแพงระหว่างชายแดนของทั้ง 2 ประเทศจึงเป็นเรื่องเพ้อฝันและต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก"
เขากล่าวว่า “หากมีกำแพงก็จะมีการลักลอบขุดอุโมงค์ใต้กำแพง และมันยากมากที่จะหาทุนมาใช้ในการก่อสร้างซึ่งคาดว่าต้องใช้งบประมาณมากถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ"
นอกจากนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังเกรงว่า กำแพงนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยืนกรานว่าจะให้เม็กซิโกเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการสร้างกำแพง